The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

Your rating: 0
6 1 vote

Creator

Creator

Cast

Synopsis

The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

ปี 1916 ผู้ศึกษาอาคมในอังกฤษรวมตัวกันอัญเชิญ มรณะ เทพแห่งความตายมากักขังเพื่อจะได้ขู่บังคับให้ฟื้นชีพผู้เป็นที่รักกลับมา หากแต่ความผิดพลาดได้ทำให้เทพอีกตนถูกกักขังไว้แทน ดูหนังออนไลน์ นั่นคือ นิมิต เทพแห่งความฝันเมื่อเหล่าจอมอาคมไม่ได้สิ่งที่ต้องการจึงฉกชิงอาวุธของนิมิตเอามาใช้ประโยชน์แทน ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 โลกทั้งใบเมื่อไร้ความฝันก็ทำให้บางคนไม่อาจหลับและบางคนไม่อาจตื่น และที่สำคัญเมื่อไร้ผู้ปกครองเหล่าปีศาจความฝันจึงหนีออกมายังโลกมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะฝันร้ายนาม ดูหนังฟรี โครินเธียน ผู้ชื่นชอบการฆ่าคน เป็นหน้าที่ของนิมิตหรือแซนด์แมนที่ต้องหาทางหนีจากการคุมขังและรักษาสมดุลของโลกอีกครั้ง The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม หนัง Netflix

The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

‘The Sandman’ ผลงานของ นีล ไกแมน (Neil Gaiman) เป็นกราฟิกโนเวลไม่กี่เรื่องที่ได้รับการยกย่องให้ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times ทั้งยังถูกขนานนามว่าคอมมิกของเหล่าปัญญาชน จนกลายเป็นหนังสือแนะนำของหลายสำนักเคียงคู่กับผลงานขึ้นหิ้งอย่าง ‘Watchmen’ ของอลัน มัวร์ (Alan Moore) และ ‘The Dark Knight Returns’ ของ แฟรงก์ มิลเลอร์ (Frank Miller)

อาจด้วยเป็นผลงานที่เน้นเด็กโตจนถึงผู้ใหญ่มากกว่า มันจึงขับเน้นด้วยเรื่องราวของปรัชญาและการต่อสู้ของเหล่านามธรรมที่กระทบมาถึงโลกมนุษย์ และด้วยการตีพิมพ์ลงในหัวหนังสือของ Vertigo Comics ค่ายสายมืดเน้นโหดของสำนักพิมพ์ DC ที่มีผลงาน อาทิ ‘Hellblazer’ (หรือรู้จักดีในชื่อ ‘John Constantine’) ด้วยแล้ว พูดแบบนี้ก็น่าจะพอจับโทนของ ‘The Sandman’ ได้บ้างว่ามันจะไม่ใช่หนังหรือนิยายภาพแนวซูเปอร์ฮีโร่ตีกันแบบสมัยนิยมตามที่ใครบางคนคาดหวังแน่ ๆ

แต่ถ้าคุณกำลังมองหาอะไรที่ชวนให้สมองได้ขบคิดเยอะ ๆ ผ่านภาพแฟนตาซีสุดติ่งจินตนาการอย่างใน ‘Watchmen’ หรืออยากหาแนวดาร์กแฟนตาซีสยดสยองทั้งด้านภาพและเนื้อหาที่เปิดส่วนดำมืดของมนุษย์ออกมาได้น่ากลัวยิ่งกว่าผีห่าซาตาน อย่างใน ‘Black Mirror’ นี่คือเรื่องที่คุณต้องโปรดปรานอีกเรื่องหนึ่ง

เปิดหัวได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ แม้เราเคยอ่านพล็อตและบางส่วนของฉบับคอมมิกที่เริ่มด้วยพิธีอัญเชิญของพวกจอมเวทจนแอบกลัวว่าภาพมันจะออกมาเชยเกินไปหรือไม่ ทว่าเอาเข้าจริงทั้งงานซีจีและการออกแบบศิลป์ย้อนยุคไปราวปี 1900 ต้น ๆ ทำได้สวยงามมาก และการใช้เสียงบรรยายของตัวเอกที่นำแสดงโดย ทอม สเตอร์ริดจ์ (Tom Sturridge) เองก็ดูขลังลึกลับน่าติดตามดี บทพูดก็ชวนให้อยากรู้ด้วยว่าเทพที่เป็นนามธรรมอย่างเช่น นิมิต (ความฝัน ดรีม มอร์เฟียส แซนด์แมน หรือเจ้าแห่งฝันร้าย มีชื่อเรียกหลากหลาย) นั้นมีความคิดอย่างไร

The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

เขามองมนุษย์ที่ทำร้ายเขาอย่างไร ตอบสนองต่อความโลภไร้ก้นบึ้งของมนุษย์ที่แม้รู้ว่าจับเทพมาผิดองค์แต่ก็ยังต่อรองขอประโยชน์อื่น เช่น ความร่ำรวยและไม่แก่ไม่ตายแทนอย่างไร้ความละอายได้อย่างไร ยิ่งได้ขับเน้นผ่านการนำเสนอความเย็นชาแต่ดูหล่อเหลา และถ่ายทอดความอ่อนไหวภายในใจผ่านดวงตาของสเตอร์ริดจ์ก็ชวนให้นึกถึง โรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) ในบางมุม น่าจะมีสาวโดนตกอยู่ไม่น้อยทีเดียว

ที่สำคัญตัวเรื่องราวไม่ได้เดินไปแบบเส้นตรงเช่น ขาวหรือดำ ธรรมหรืออธรรม มันเต็มไปด้วยความยอกย้อนฉ้อฉล ตัวละครมนุษย์ในเรื่องแต่ละตัวต่างเทา ๆ มีกิเลสบางอย่างมีผลประโยชน์ที่ถือครองและพร้อมจะทำร้ายผู้อื่นด้วยเหตุผลที่ฟังดูดีได้ ตรงนี้ทำให้เราดูไปและคิดวิเคราะห์ว่าพวกเขามีแรงขับทางจิตวิทยาอะไรที่ทำให้เลือกตัดสินใจแบบนั้น และหลายครั้งเราพบว่ามันเป็นการนำเสนอมนุษย์ที่เหมือนจะไม่มีตรรกะ แต่ดันสมจริงเอามาก ๆ ทีเดียวเพราะใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงเป็นธรรมชาติ ตรงนี้ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยความน่าสนใจและน่าหลงใหลอย่างมาก

เเนื้อหาของซีรีส์อาจแบ่งเป็นส่วนใหญ่ ๆ ได้หลายส่วน ช่วงแรกตอนที่ 1-5 หรือครึ่งทางของซีซัน เป็นการถูกกักขังของนิมิตและการเดินทางทวงคืนพลังของเขาที่ถูกซุกซ่อนในแห่งหนต่าง ๆ ทำให้เราได้พบตัวละครใหม่ ๆ ตัวซีรีส์ค่อย ๆ ให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกันนี้ว่าภูมิหลังของโลกในเรื่องประกอบไปด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติใดบ้าง

เราได้พบเทพชะตากรรมที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของหญิง 3 นาง เราท่องไปในดินแดนแห่งฝันและพบเหล่าความฝันผู้รับใช้นิมิตที่มีทั้งนอบน้อมและไม่เชื่อฟัง เราท่องไปในแดนนรกอันน่าหวาดระแวงและทนทุกข์ของลูซิเฟอร์และได้เห็นอดีตบางส่วนของนิมิต รวมถึงที่สุดเราได้เห็นว่าจิตใจอันบริสุทธิ์ของมนุษย์สามารถสร้างบาปได้มากขนาดไหน

The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม

ที่แนะนำเลยคือตอนที่ 4 ที่นิมิตต้องพบกับลูซิเฟอร์และต้องประลองกัน ถ้าเป็นซีรีส์อื่นเราคงได้เห็นฉากสู้กันสุดอลังการปล่อยพลังกันราวทำลายโลก แต่ในซีรีส์นี้กลับนำเสนอการต่อสู้กันด้วยวาจาและความคิดที่คมคาย เต็มไปด้วยปรัชญา ในขณะเดียวกันก็ฉลาดพอที่จะใช้วิสัยทัศน์ด้านภาพที่ชวนลุ้นระทึก ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การบู๊ล้างผลาญมัน ๆ เลย

ในขณะที่ตอน 5 ซีรีส์พลิกการเล่าเรื่องไปอีกแบบจนเกือบตั้งตัวไม่ติด แต่เอาจริงมันดีและฉลาดมาก เมื่อเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องมายังตัวละครมนุษย์อย่าง จอห์น ผู้ถูกโกหกมาทั้งชีวิตและเกลียดคำโป้ปดอย่างมาก จนเมื่อเขาได้พลังของนิมิตมาในครอบครองเขาก็ทดลองการสร้างโลกที่ไร้คำลวงออกมา ผ่านการนำเสนอสถานการณ์ที่เหมือนหนังสั้นชั้นดี ที่ทั้งระทึกขวัญสั่นประสาท และชวนคิดไม่น้อย เป็นอีกตอนที่แนะนำเลยว่าต้องดู

จากนั้นในตอนที่ 6 น่าจะเป็นตอนเดียวที่เหมือนมาคั่นเพื่อเปลี่ยนผ่านเรื่องราวไปสู่องก์ใหม่ ได้เห็นมุมมองพัฒนาการที่เปลี่ยนไปของนิมิตผ่านช่วงเวลาหลายร้อยปีได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังได้เห็นแง่มุมที่ว่า นิมิต เป็นทั้งความฝัน ความหวัง ความทรงจำ และเรื่องเล่า จินตนาการ สุดแต่จะมองในแง่ใด เช่นเดียวกับที่เปรียบเปรยความตายได้หลากหลายแง่มุม เป็นตอนที่เหมือนหนังสั้นดี ๆ อีกตอนหนึ่ง

และในตอนที่ 7-10 ซีรีส์ก็กลับมาสู่เรื่องราวของปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ที่ขมวดเก็บตัวละครต่าง ๆ ที่ยังทิ้งค้างไว้ได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะตัวละครโครินเธียนที่คอยอยู่ในเงามืดและแอบแทงหลังนิมิตอยู่ตลอดมา ทั้งยังมีการนำเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ฉากงานสัมมนาฆาตกรต่อเนื่องจากทั่วอเมริกาที่สุดวิปลาส และทำให้เห็นชัดเจนไปเลยว่านี่คือซีรีส์ที่สร้างมาสำหรับผู้ใหญ่ไปเลย

โดยสรุป ต้องบอกว่าตอนที่เน็ตฟลิกซ์ประกาศสร้างเรื่องนี้ ในใจก็เป็นห่วงว่าจะเป็นยักษ์ล้มแห่งปีหรือไม่ เพราะดูจากคอมิกแล้วเป็นเรื่องที่ดัดแปลงได้โคตรยากอีกเรื่องหนึ่งเลยมีปัญหาที่ต้องตีโจทย์ให้แตกเยอะมาก ตั้งแต่ดีไซน์ตัวละคร ความยากและลึกของบทสนทนาต่าง ๆ การถ่ายทอดนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมอีก


ทว่าหลังจากดูจริง ยิ่งแต่ละตอนผ่านไป ยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจและชื่นชมกับความกล้านำเสนอของเรื่องนี้ แม้จะมีความพยายามเสนอความหลากหลายเท่าเทียมทางเพศและสีผิวที่เน็ตฟลิกซ์ชอบยัดเยียด แต่ก็กลืนได้เนียนตารู้สึกสมเหตุสมผลกว่าเรื่องอื่น ๆ และเมื่อดูจบก็กล้าพูดเลยว่านี่เป็นอีกคอนเทนต์เรือธงที่เน็ตฟลิกซ์ควรต่อยอดต่อไปให้ดี ๆ

และก็คงต้องออกตัวย้ำไว้อีกว่าซีรีส์นี้ส่วนดีนั้นมีมาก แต่ก็มีข้อด้อยอยู่เหมือนกัน ทั้งการเลือกนักแสดงของบางตัวละครที่ดูไม่ค่อยเข้านัก ซีจีบางจุดยังเก็บไม่ค่อยเนี้ยบแม้ภาพรวมทำได้ดี เสน่ห์ของตัวเอกอาจยังไม่เด่นชัดมากไปเด่นตัวอื่น ๆ เสียมากกว่า และส่วนสำคัญคือนี่ไม่ใช่ซีรีส์แนวเอาใจตลาด แต่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มเสียมากกว่า ดังนั้นสุดท้ายแล้วถ้าความนิยมโดยรวมไม่พอให้พามีซีซันต่อไปก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ก็น่าเสียดายอย่างยิ่งเช่นกัน โลกเราควรมีรสขมที่เป็นประโยชน์กับสมองและหัวใจแบบนี้ไว้ในวันที่เบื่อรสหวานเลี่ยนบ้าง

สวัสดีค่ะคุณชีส หนูเพิ่งดูซีรีส์เรื่องนี้จบไปแบบสดๆร้อนๆกับเรื่อง “The Sandman” เป็นซีรีส์สุดแฟนตาซีที่มีความเกี่ยวโยงกับปกรณัม ตำนานพื้นบ้าน และเรื่องเล่าต่างๆ ถูกนำมารวบรวมอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้ค่ะ ตัวซีรีส์ดัดแปลงมากจากหนังสือคอมมิคจากค่าย DC นั่นเองคำเตือนในการดูซีรีส์เรื่องนี้คือ เนื้อหาค่อนข้างมีความรุนแรง ภาพที่ดูรุนแรง ไม่เหมาะกับคุณชีสที่ไม่ชอบเลือด หรือสิ่งที่จะทำให้จิตใจได้รับการกระทบกระเทือน อ่านเรื่องย่อพร้อมรีวิวได้ที่ด้านล่างได้เลยค่ะ

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งความฝันที่ถูกเรียกว่า “มอร์เฟียส” หรือ “แซนด์แมน” วันหนึ่งเขากำลังจะจัดการกับลูกน้องของเขา แต่ปรากฏว่าโดนคาถาจากผู้ร่ายเวทมนตร์ในบ้านหลังหนึ่งพร้อมถูกจับกักขังเอาไว้เป็นเวลา 100 ปี ข้าวของอุปกรณ์ของเขาถูกชายผู้ร่ายคาถาขโมยไปจนหมด แล้วถูกขโมยไปอีกทีนึง เทพแห่งความฝันไม่ยอมปริปากพูดกับใครเลยสักคนขณะอยู่ในที่กักขังที่เป็นแก้วกระจกอย่างดี ทั้งผู้ร่ายคาถาและลูกชายของผู้ร่ายคาถามาพูดโน้มน้าวใจ หาข้อเสนอมาร้อยแปดพันเก้า เทพแห่งความฝันก็นิ่งเฉยไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น จนมาวันหนึ่งเทพแห่งความฝันได้รับการช่วยเหลือจากชายคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนั้น แต่เขาจะออกมาได้จริงๆหรือเปล่า เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร เพราะของถูกขโมยไปหมดแล้ว ของเหล่านั้นคือพลังส่วนหนึ่งของเขา เรื่องราวของเทพแห่งความฝันจะเป็นเช่นไรต่อ คุณชีสไปหาคำตอบได้ที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้เลยค่ะ

ใครที่จะดูเรื่องนี้ต้องลบภาพจำแซนด์แมนในการ์ตูน Rise of the Guardians ออกไปก่อนนะคะ เพราะเรื่องนี้เทพแห่งความฝันไม่ได้มีตัวสีทอง หรือหน้ายิ้มตลอดแบบในการ์ตูน ซีรีส์เรื่องนี้อย่างที่หนูบอกว่าสร้างมาจากคอมมิค มีการผสมผสานเรื่องราวต่างๆเข้าไป แซนด์แมนที่น่ารักในการ์ตูนแต่เรื่องนี้คนละแบบกันเลยค่ะ The Sandman (2022) สงครามเทพนามธรรม


มาเริ่มกันที่ตัวของเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจมากๆค่ะ หนูรู้สึกขนลุกมากในตอนแรก แต่พอมาตอนหลังๆเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันยืดไปหน่อย ถ้าจะบอกว่าเป็นการปูเนื้อเรื่องหนูว่ามันน่าจะทำได้กระชับกว่านี้ สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้มีถึงตัวเรื่องจะยืดเยื้อก็คือการไล่เรียงเหตุการณ์ที่ทำให้คนดูอยากจะดูต่อไปเรื่อยๆค่ะ แต่หนูขอแต่อีกครั้งตอนที่ 5 เป็นตอนที่ทำให้ดูรู้สึกว่าต้องหยุดดูก่อน เป็นตอนที่เวลาก็ใกล้เคียงกับตอนอื่นๆ แต่เวลาดูช่างยาวนานมาก เป็นตอนที่ทำให้อยากจะอาเจียนออกมา อึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ด้วยองค์ประกอบต่างๆในตอนนี้มันทำให้เวียนหัวจริงๆ แต่ก็เป็นตอนที่สื่อแง่คิดออกมาได้ดีเหมือนกันในเรื่องความโลภ โกรธ หลง และการสูญเสียของมนุษย์ สิ่งที่หนูรู้สึกขัดใจกับซีรีส์เรื่องนี้คือตัวของเทพแห่งความฝัน หนูดูแล้วยังไม่ได้รู้สึกว่าพลังของเขามันมีพาวเวอร์มากขนาดนั้น ตัวเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้มีการโชว์หรือแสดงให้เห็นถึงพลังที่ดูน่ากลัวจริงๆของเขาเลยค่ะ

จะเห็นว่าหนูรีวิวเหมือนจะไม่สนุกเลยแต่ในความเป็นจริงถ้ามองในภาพรวม ซีรีส์เรื่องนี้ทำออกมาได้ดีค่ะ สนุกเหมือนกัน ให้แง่คิดฝากถึงคนดูเหมือนกัน ด้วยความที่ตัวของหนูเองเป็นคนที่ชื่นชอบซีรีส์แฟนตาซีอยู่แล้ว และชื่นชอบเทพปกรณัมต่างๆ เลยทำให้อยากรอดูซีซั่นสองแล้วค่ะ ถึงบางเรื่องจะมีคำถามในหัวของหนูก็ตาม บางคำพูดของตัวละครที่ทำให้สงสัย แต่ก็จะรอดูต่อไปค่ะ หรือไม่ก็จะลองไปหาหนังสือมาอ่านดูค่ะ อาจจะรู้สึกอินมากขึ้น

ถ้าถามว่าหนูชอบตอนไหนมากที่สุดก็คงเป็นตอนที่มาพบกันในรอบ 100 ปี ที่จริงบางคนบอกว่าตอนนี้ดูน่าเบื่อมาก เพราะเรื่องดูวนอยู่แบบนั้น แต่ถ้าดูดีๆแล้วคิดตามเราจะได้เห็นอะไรมากมายเลยค่ะ ทั้งการพัฒนาในเรื่องต่างๆของมนุษย์มีเทคโนโลยี รูปแบบโครงสร้างบ้านเมือง คำพูดของมนุษย์เรา การแต่งกาย ทรงผม และมิตรภาพของทั้งสอง ในตอนสุดท้ายของตอนทำหนูน้ำตาไหลเลยค่ะ

มาในส่วนของนักแสดงค่ะ นักแสดงเขาเลือกมาได้สมบทบาทดีนะคะในทุกตัวละครเลย แต่ละตัวละครมีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจนมาก อย่างเทพแห่งความฝันเองทั้งโครงหน้า เสียง ท่าทางดูเป็นเทพจริงๆค่ะ เรียกได้ว้าคัดเลือกมาอย่างดี นักแสดงในเรื่องจะมีหลายตัวละครมากๆ ใครที่ดูแรกๆอาจจะงุนงงได้ค่ะ แต่ต่อไปจำได้แน่นอนเพราะตัวนำหลักจะน้อยลง ถ้าถามหนูว่าหนูชอบตัวละครตัวไหนมากที่สุดก็คงเป็นพี่โจฮันน่า หญิงสาวสีเทาที่ไม่ขาวและดำ ถึงเธอจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เธอก็พร้อมใช้ความรู้ในการช่วยเหลือคนอื่นค่ะ คุณชีสชอบตัวตัวไหนกันบ้าง

ในด้านอื่นๆ ซีรีส์เรื่องนี้ภาพสวยมาก CGยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างสุดๆ ชอบแบบเมืองThe Endless มากค่ะ สมแล้วที่เป็นเมืองในฝัน ชอบคอสตูมในแต่ละยุคสมัยที่สื่อออกมาได้ดีมากๆ แต่ภาพในช่วงแรกๆถ้าใครที่สังเกตเห็นจะรู้สึกว่าภาพมันแปลกๆค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างหรือว่ามันเกิดอะไรขึ้น หนูพยายามหาคำตอบแล้วแต่ไม่พบเลยค่ะ ซาวด์ประกอบดูยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กันมีให้ฟังในแอพเขียวสามขีดด้วยนะคะ

สุดท้ายนี้คุณชีสท่านไหนที่ชื่นชอบซีรีส์แฟนตาซีที่มีความดาร์ก เรื่องราวของตำนาน เทพปกรณัมต่างๆ เรื่องนี้จะพลาดไม่ได้เลยค่ะ เป็นซีรีส์ที่สนุกอยู่เหมือนกันแล้วจบได้แบบว่าต้องรอคอยซีซั่นสองวนไป อย่างที่หนูบอกว่าบางฉากบางซีนมีภาพที่ค่อนข้างรุนแรง อ่านรีวิวของหนูแล้วลองตัดสินใจดูค่ะคุณชีส

Similar titles

Frontier season 3
Outlander Season 4 เอาท์แลนเดอร์ ปี 4
the crowned clown
Brooklyn Nine-Nine Season 4
Hotel Del Luna
ซีรี่ย์จีน Catch Up My Prince (2023) องค์ชายอย่าหมายปองข้า พากย์ไทย (จบ)
May It Please The Court (2022)
The Bride of Habaek ดวงใจฮาแบ็ค
Sell Your Haunted House นายหน้านักล่าผี (2021)
Kingdom Season 1 (2019)
The 100 Season 3 – 100 ชีวิต กู้วิกฤตจักรวาล ปี3
Bangkok Breaking

Leave a comment

Name *
Add a display name
Email *
Your email address will not be published