Stranger Things คือความสำเร็จใหญ่ของ Netflix และพี่น้องดัฟเฟอร์ในฐานะผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้ จากซีรีส์ม้านอกสายตาว่าด้วยเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่หายตัวไปอย่างลึกลับ การมาของเด็กหญิงประหลาดผู้มีพลังจิต นำไปสู่สู่โลกกลับด้านที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและเรื่องพิศวง Stranger Things Season 3 – สเตรนเจอร์ ธิงส์ ปี 3 ซีรีส์ขนาด 8 ตอนจบในซีซั่นแรกประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายจนได้รับอนุมัติซีซั่น 2 และสานต่อความสำเร็จมาจนถึงซีซั่น 3 ที่เพิ่งออกอากาศไปเมื่อวานนี้พร้อมกันทั่วโลกเป็นวันแรก ดูหนังออนไลน์
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 สเตรนเจอร์ ธิงส์ 3 เปิดโปรโมทแรกด้วยโฆษณาห้างสรรพสินค้าสตาร์คอร์ทมอลล์ มันคือห้างสรรพสินค้าในเมืองฮอว์กินส์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันพร้อมสิ่งบันเทิงพร้อมสรรพ นั่นอาจเป็นภาพแรกที่เราไม่คุ้นนักกับการเริ่มโปรโมทซีรีส์สักเรื่อง ซีรีย์ netflix หากแต่ว่าห้างสตาร์คอร์ทนี้ คือจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในซีรีส์ขนาด 8 ตอนจบของซีซั่นที่ 3 ดูหนังฟรี
ว่ากันจริงๆ แล้วโครงสร้างการดำเนินเรื่องจำนวน 8-9 ตอนในทุกซีซั่นของสเตรนเจอร์ ธิงส์ มีคล้ายๆ กันคือ ปูปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองจากโลกกลับด้าน จนตัวละครบางตัวได้รับผลกระทบไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม นำไปสู่่การเผชิญหน้าระหว่างตัวละครหลักกับกลุ่มสัตว์ประหลาด ถึงตรงนี้ใครที่เป็นแฟนเดนตายของสเตรนเจอร์ ธิงส์ ใน 2 ซีซั่นที่ผ่านมาก็คงจะพอเดาได้ว่า ซีซั่น 3 นี้คงใช้วิธีการดำเนินเรื่องในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเรามองว่ามันเหมือนดูเป็นการเพลย์เซฟเกินไปสักนิด
แต่แก่นเรื่องที่ว่าด้วย ‘สิ่งประหลาด’ ตามที่ชื่อเรื่องบอกไว้ มันแข็งแรงและชัดเจนพอที่จะดึงผู้ชมให้ติดหนึบอยู่ที่หน้าจอได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่รู้สึกเลยว่า นี่คือมุกเดิม มุกเก่าที่คล้ายกับซีซั่นที่ผ่านมา แต่เพราะลีลาที่มากขึ้น การทำการบ้านที่หนักหน่วงขึ้นของทีมงาน ด้วยการเพิ่มลีลาจากภาพยนตร์ในช่วงเวลานั้น สเตรนเจอร์ ธิงส์ จึงยังมีแก่นเรื่องที่ไม่เอนเอียงชวนดูสนุก ถึงแม้ว่าองค์ประกอบบางอย่างจะส่งผลให้ซีรีส์เรื่องนี้ ‘ออกทะเล’ ไปค่อนข้างไกลก็ตาม
ซีรีส์ยอดนิยมอันดับ 1 ของ Netflix (รับชมได้ที่นี่) ที่หยิบจับความรู้สึกโหยหาอดีตแบบ Nostalgia มาผสมกับธีมสยองขวัญกึ่งไซไฟได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นเทรนด์ให้มีหนังแนวเดียวกันนี้ตามมาอย่าง IT หรือแม้แต่ Rim of the world ของเน็ตฟลิกซ์เองก็ยังแทบก็อปกันมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าแค่ก็อปมาจะได้ผล หนังยังต้องพึ่งเสน่ห์ของนักแสดง บทที่ดี ไอเดียที่ฉลาดสร้างสรรค์ สามารถขุดเอาเรื่องราวในความทรงจำของคนดูที่ผ่านยุคนั้นมาใช้ได้อย่างไม่เชย แถมยังดูสนุกได้อย่างที่ซีรีส์ Stranger Things ทำมาทั้ง 3 ซีซั่น
ใครยังไม่เคยดูแล้วอยากลัดมาซีซั่น 3 ดูเล่าเนื้อเรื่องสรุป 2 ซีซั่นจากน้าต๋อยเซมเบ้ในวิดีโอด้้านล่างนี้ได้ครับ
Stranger Things ซีซั่น 3 เรื่องราวเริ่มต้น 1 ปีหลังจากแอลได้ปิดประตูมิติในห้องทดลองลับของรัฐบาลไป แต่แล้วก็มีคนพยายามเปิดประตูมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง! ซึ่งตอนจบท้ายสุดของซีซั่น 2 หนังฉายให้เห็นว่าเจ้าปีศาจ Demogorgons บอสใหญ่หรือที่เด็กๆ เรียกว่า “จอมเปิดโปง” ยังคงอยู่ในโลกกลับด้าน Upside down ที่ซ้อนทับกับเมือง Hawkins เป็นโลกคู่ขนานที่รอการกลับมาอีกครั้ง หนังภาคนี้ได้พาเรากลับไปยังโลกยุค 80 เหมือนเช่นเคย โดยโฟกัสไปยังช่วงเวลาในปี 1985 ก่อนวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม
ซึ่งเป็นปีที่มีปรากฎการณ์สำคัญอย่างการมาของโค๊กรสใหม่ New Coke (อ่านรายละเอียดท้ายรีวิว) หนังดังอย่าง Back to the Future (ชื่อไทย เจาะเวลาหาอดีต) และการมาของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รุกเข้าไปยังเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ซึ่ง Hawkins เมืองสมมุติในเรื่องก็หนีไม่พ้นการมาของห้างยักษ์ใหญ่ สตาร์คอร์ท (Starcourt)
ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนทุนนิยมสร้างชาติของอเมริกาให้รุ่งโรจน์ แต่อีกด้านก็คือภัยร้ายต่อเศรษฐกิจของชาวเมือง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ทำให้ร้านค้าในเมือง Hawkins เดือดร้อนจนต้องปิดตัวลงตามๆ กัน หนังใช้การมาห้างสรรพสินค้าเป็นเหมือนการมาของปีศาจ Demogorgons ที่เริ่มครอบงำผู้คนให้ตกเป็นทาสของมันทีละคนๆ ซึ่งสตาร์คอร์ทนี้เองที่เป็นจุดเริ่มและจุดจบของเนื้อเรื่องหลักในซีซั่นนี้
ก่อนที่แอลและทุกคนจะเริ่มพบกับความผิดปกติอื่นๆ ตามมา โดยผสมเรื่องราวปัญหาความรักวัยรุ่น การมีแฟนครั้งแรกของไมค์กับแอล ในมุมมองที่ต่างกันของผู้ชายและผู้หญิง โดยต่างคนก็ได้ที่ปรึกษาเป็นลูคัสกับแม็กซ์ที่เป็นแฟนกันมาก่อนด้วย (ซึ่งดูไม่ค่อยเข้ากันเลย) เรื่องราวปัญหาหัวใจวัยรุ่นนี้เป็นส่วนสำคัญที่โยงเรื่องไปถึงจิม (Jim Hopper) หัวหน้าตำรวจหุ่นหมี
และเป็นพ่อบุญธรรมของแอลที่เครียดหนักกับการที่แอลเป็นแฟนกับไมค์ ทั้งยังพยายามแข็งข้อกับเขาตามประสาวัยรุ่น ซึ่งจิมก็ต้องมาขอคำปรึกษากับจอยซ์ (Joyce Byers) จนกลายมาเป็นอีกคู่ที่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กัน พร้อมกับสืบเรื่องราวปริศนาในเมืองอีกเส้นทาง ซึ่งล้อกับเรื่องราวในแบบหนังคนเหล็ก 2029 ที่ฉายเมื่อปี 1984
ตรงกับเรื่องราวการทดลองครั้งแรกของรัสเซียตอนเปิดเรื่องด้วย หนังเล่นกับการไล่ล่าของชายปริศนาที่รูปร่างหน้าตาท่าทางแทบจะถอดแบบมาจากอาร์โนลด์ที่เล่นเป็นหุ่นเหล็กเทอมิเนเตอร์ โดยเขาจะไล่ล่าสังหารจิมกับจอยซ์ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้หนังมีเส้นเรื่องใหม่ แนวทางแอ็กชั่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เป็นเหมือนมินิบอสอีกตัวเพิ่มจากปีศาจร้าย Demogorgons
โจนาธาน (Jonathan Byers) กับแนนซี่ (Nancy Wheeler) ได้บทพิสูจน์ความรักของทั้งคู่จากงานในสำนักข่าวท้องถิ่นในเมือง ซึ่งโจนาธานเป็นช่างภาพ แนนซี่เป็นพนักงานบริการในออฟฟิซ ที่โดนโขกสับเหมือนคนใช้ดีๆ นี่เอง แต่ด้วยความที่เธอมีความฝันอยากเป็นนักข่าว จึงได้พยายามตามสืบเรื่องราวประหลาดที่เกิดกับหนูในเมือง ซึ่งขัดกับหน้าที่ในออฟฟิซที่มีแค่ชงกาแฟไปวันๆ หนังทำให้เห็นสังคมอเมริกันที่เน้นชายเป็นใหญ่ในยุคนั้นได้ดี
ผู้หญิงที่พยายามพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถแค่ไหน ก็ยากที่จะฝ่าการกีดกันทางสังคมหน้าที่การงานไปได้ และความพยายามสืบข่าวทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของแนนซี่ ทำให้โจนาธานรู้สึกกำลังพาให้เขาตกงานไปด้วย ซึ่งบ้านของโจนาธานก็กำลังถูกขาย จอยซ์ผู้เป็นแม่ไม่อาจรับภาระไหว นั่นเป็นเหตุให้ทั้งคู่เกิดรอยร้าวในใจขี้น หนังสร้างคู่นี้เพื่อให้เห็นปัญหาความรักในวัยทำงานที่ต่างจากเด็กๆ อย่างไมค์กับแอลที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่ของโจนาธานกับแนนซี่คือตัวชี้เป็นชี้ตายว่าเขาและเธอจะฝ่าฟันอุปสรรคทางสังคมจนเป็นคู่รักได้ต่อไปหรือไม่ แม้ส่วนดราม่าของทั้งคู่ดูจะธรรมดาไปนิด
แต่ส่วนการผจญภัยขที่ทั้งคู่ต้องเจอนี่คือ “เดอะเบสต์ของความสยองที่สุดของเรื่อง” ซึ่งให้อารมณ์น่ากลัวแหวะๆ แบบพวกหนังผีเข้าเอ็กซอร์ซิสต์ผสมกับหนังสัตว์ประหลาดอย่าง The Blob (ชื่อไทย เหนอะเคี้ยวโลก) และพวกหนังเอเลี่ยนสิงร่างกลืนร่างในอดีต หนังทำได้น่ากลัวแบบที่คิดว่าถ้าเอาจริงๆ Stranger Things สามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญเต็มตัวเลยก็ได้ แต่เมื่อยังต้องจับกลุ่มผู้ชมทุกวัย ก็เลยต้องมียั้งๆ ไว้อยู่เหมือนเดิม…
แต่กลุ่มที่สนุกแบบแปลกใหม่และน่าติดตามที่สุดคือ กลุ่มของดัสตินกับสตีฟ (Steve Harrington) ที่ได้เส้นเรื่องแยกออกไปตามสืบเรื่องราวของรัสเซียในห้างสตาร์คอร์ท ซึ่งหนังก็ฉายภาพรัสเซียในขณะนั้นจากมุมมองอเมริกาด้านเดียว ซึ่งยุคนั้นรัสเซียปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เต็มใบ
อเมริกาได้สร้างภาพให้รัสเซียเป็นภัยร้ายบ่อนทำลายอเมริกา ซึ่งหนังก็หยิบจับมาเล่นแบบตรงไปตรงมาตามธีมของเรื่อง ปีศาจ = คอมมิวนิสต์ โดยฉายให้เห็นภาพชั่วร้ายตั้งแต่เริ่มเรื่อง เป็นการทดลองเปิดประตูมิติที่รัสเซีย ก่อนจะเชื่อมโยงมาถึงอเมริกา มายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งดัสตินเป็นคนได้ค้นพบความลับนี้และได้มาปรึกษาสตีฟเพื่อนคู่หูต่างวัยจากเหตุการณ์ในภาคก่อน โดยทั้งคู่จะได้ร่วมกับอีก 2 ตัวละครใหม่ “โรบิน” (Robin) ที่เป็นพนักงานสาวตักไอติมในห้างคู่กับสตีฟ
และเอริก้า (Erica Sinclair) น้องสาวของลูคัส ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดๆ ดัสตินเด็กเนิร์ดที่สุดของแก๊งตั้งแต่ภาคแรก จะได้มาเจอกับเอริก้าสุดกวนที่เป็นเนิร์ดอัจฉริยะที่ตัวเองไม่ยอมรับว่าเป็นเนิร์ด ทั้งคู่จะปะทะคารมกันแบบเนิร์ดๆ แถมด้วยความรู้เรื่องประวัติศาสตร์รัสเซีย คณิตศาสตร์
ส่วนของ “โรบิน” ที่มาใหม่ก็เข้ากับกลุ่มแก๊งสตีฟกับดัสตินได้อย่างรวดเร็ว โรบินเป็นตัวละครสาวที่ฉลาดและมีเสน่ห์ลึกๆ เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน แต่สตีฟมักมองข้ามไม่สนใจไปมองหาสาวตามสเป็ค แต่ด้วยความที่เขาสอบมหาลัยไม่ผ่าน ต้องมาทำงานในร้านไอติม ก็ทำให้จากหนุ่มฮอตในงานพรอม
(งานเต้นรำเลี้ยงจบการศึกษามัธยมปลายของของอเมริกา) กลายมาเป็นหนุ่มไม่มีอนาคตในชุดเครื่องแบบกลาสีเรือ ที่ไม่มีสาวคนไหนสนใจอีกแล้ว หนังทำให้โรบินทั้งฉลาด เด็ดเดี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างน่าสนใจ ซึ่งคาแร็กเตอร์แบบนี้มักถูกกันพื้นที่ไว้เป็นเฟรนด์โซนมากกว่าจีบเป็นแฟน
แต่การผจญภัยครั้งนี้ก็ทำให้สตีฟได้เริ่มหันมามองโรบินใหม่ ซึ่งพล็อตดูแล้วเหมือนพวกหนังรักสูตรสำเร็จเดาง่าย แต่หนังกลับทำได้ดีกว่านั้น แถมสอดแทรกประเด็นความรักนอกกรอบสังคมในยุค 80 ที่สิ่งนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ถ้าใครจะเปิดเผยออกมา หนังทำฉากบทสรุปของเรื่องราวทั้งคู่ในห้องน้ำคาโถส้วมได้อย่างขำๆ แต่แอบซึ้งดีงามลงตัวไปพร้อมกัน รวมถึงเรื่องราวความรักของดัสตินในกลุ่มก็ด้วยเช่น ซึ่งทั้งสองคู่นี้เป็นบทสรุปความรักที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในซีซั่นนี้แล้ว
ช่วงหลังหนังก็เป็นไปตามสูตรคือทุกกลุ่มจะได้กลับมาพบกันในช่วงเอพิโสดท้าย โดยแอลยังเป็นคนใช้พลังพิเศษพลิกวิกฤติในช่วงคับขันต่างๆ อยู่เหมือนเดิม ซึ่งดูเหมือนทางผู้สร้างจะยังหาทางออกดีๆ ให้ตัวละครอื่นมีบทบาทในการสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องไม่ได้ ผิดกับซีซั่นแรกที่การใช้พลังแต่ละครั้งของแอลดูเป็นปาฏิหาริย์ที่โผล่ขึ้นมาอย่างน่าอัศรรย์ ซึ่งตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วที่ผู้เขียนรู้สึกว่าฉากขับคันในเรื่องหาทางออกด้วยพลังของแอลมากเกินไปหน่อย จนรู้สึกว่าจำเจ
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงขนาดน่าเบื่อ เพียงแต่การที่มีแต่แอลเท่านั้นที่พลิกวิกฤติได้ดูจะเป็นสูตรสำเร็จง่ายเกินไป แตกต่างจากความสนุกช่วงก่อนรวมทีม ที่ดูมีลุ้นในแบบฉบับความสามารถของแต่ละคนมากกว่า แต่ก็ยังดีที่ตอนท้ายเรื่องทุกตัวละครยังได้มีซีนร่วมกันต่อสู้กับบอสสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายของเรื่องไปพร้อมกัน แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ดูอลังการหรือ CG ดีมากเท่ากับที่ Netflix โหมโปรโมทไว้ แถมยังดูเหมือนไม่น่ากลัวเท่ากับช่วงที่มันหลบซ่อนตัวอยู่
นี่เป็นซีซั่นที่ไต่ระดับความน่าสนใจในช่วงแรกได้อย่างรวดเร็วน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเรื่องตัดไวไม่ยืดเยื้อ มีแนวทางใหม่มานำเสนอ แต่กลับไปดรอปลงในช่วงท้ายสุดของซีซั่นอย่างน่าผิดหวัง หนังมีตัวละครเพิ่มใหม่เพิ่มอีกหลายตัว อย่างนายกเทศมนตรี นักวิทย์ศาสตร์รัสเซียสุดเอ๋อ
แต่ก็ใส่มาเพื่อเป็นส่วนประกอบของเรื่อง ไม่ได้เป็นคีย์ในบทสรุปท้ายสุดตอนไคลแม็กซ์เลย (ทั้งๆ ที่บทส่งให้เป็นไปในทางนั้น) รวมถึงไม่ได้สรุปเรื่องราวภายหลังที่ดีพอกับห้างสตาร์คอร์ทที่ชาวเมืองต่อต้าน และในส่วนของโลก Upside Down หนังยังเลือกจบในแบบทิศทางเดิมๆ เกินไป ซึ่งถือว่าเป็นความน่าผิดหวังที่ผู้สร้างยังเลือกกั๊ก หรืออาจจะเลือกยืดซีรีส์ Stranger Things ให้มากกว่าซีซั่น 4 ก็เป็นได้ เพราะท้ายเรื่องเอนเครดิต หนังเลือกออกสู่เมืองอื่น ออกสู่โลเกชั่นใหม่นอกเมือง Hawkins ดูเป็นทิศทางใหม่ในอนาคตต่อไปของซีรีส์นี้ แต่ก็ยังไม่พ้นหยิบจับปีศาจเก่าในโลก Upside Donw มาใช้อยู่เช่นเดิม…