เซ็กซ์ แอนด์ เดอะ ซิตี้ สอดแทรกสาระ เกี่ยวกับการแสวงหา ความสัมพันธ์ ที่มีความหมาย โดยไม่เว้นแม้แต่ ประเด็นเผ็ดร้อน ที่เป็นจุดสนใจ ของผู้คน ในสังคมเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะแง่มุมใหม่ ๆ Sex and the City Season 1 เกี่ยวกับสัมพันธภาพ ระหว่างชายหญิง 1. แคร์รี่ แบรดชอว์ อาชีพ : นักเขียน บทความ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ใครต่อใคร พากัน ขนานนามเธอว่า นักมนุษย์วิทยา สาขาเพศสัมพันธ์ แห่งหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก สตาร์ เรื่องราวมันส์ ๆ
สนุก ๆ ไปจนถึง โลดโผน สุดเหวี่ยง ยามออก ท่องราตรี และชีวิตรัก ส่วนตัว ของเธอและ เพื่อน ๆ สาวโสด กลายเป็น วัตถุดิบ ในการเขียน คอลัมน์เฉียบคม เร้าใจว่าด้วย เรื่องการออกเดท และการหาคู่ ในป่าคอนกรีต ที่นิวยอร์คนั่นเอง สไตล์การแต่งตัว : รสนิยม การแต่งตัว ของแม่สาวแคร์รี่ สะท้อน แฟชั่น ความงาม ตามแบบ สาวทันสมัย ในเมืองใหญ่ แพทริเชีย ฟิล์ด ดีไซเนอร์ ผู้ออกแบบ เครื่องแต่งกาย ให้กับ ภาพยนตร์ชุดนี้ สรรหา สิ่งที่ดีเลิศ จากแฟชั่น สไตล์หรูเลิศ อลังการและ สไตล์สวยเรียบ อมตะ มาผสมผสานกัน จนเป็น แฟชั่นสวยเก๋ สะดุดตา แหวกแนว เปิดเผย มีเสน่ห์ แบบเรียบ แต่หรู ในตอนกลางวัน แคร์รี่ จะสวมใส่เสื้อผ้า แบบทะมัดทะแมง สวยเก๋ ทันสมัย เป็นตัวของ ตัวเอง ในยามราตรี เธอจะแปลงกาย เป็นสาวเซ็กซี่ น่ารัก
ด้วยชุดรัดรูปรัดทรง แล้วแต่สถานการณ์ แต่ไม่ว่า จะเป็นโอกาสใด เธอจะต้องใส่ รองเท้าส้นสูงปรี๊ด ไว้ก่อนเสมอ และพ่วงท้าย ดูหนัง ด้วยเครื่องประดับ ประเภท กระเป๋า สะพายระยิบระยับ ยี่ห้อเฟนดี้ ที่สำคัญ เธอจะไม่มี วันถอด สร้อยคอทองคำ ที่ห้อย แผ่นป้ายชื่อ และกระต่ายเพล์บอย ตัวจิ๋ว ออกเป็นอันขาด เธอมัก จะปล่อย ผมบรอนด์ ที่หยิกเป็นลอน ลงมา ประบ่า ดูเซ็กซี่ เป็นธรรมชาติ แต่วันดี คืนดี เธอก็ลุกขึ้น มาเป่าผมให้เรียบ แป้เป็นทรงสวย
ไปอีกแบบ 2.ชาร์ลอต ยอร์ค อาชีพ : นายหน้าขายงานศิลปะ สไตล์การแต่งตัว : ชาร์ลอต ชอบใส่ เสื้อผ้า ดีไซเนอร์ ที่ดูเป็นหญิง ๆ สักหน่อย เธอไม่ค่อยชอบ แต่งตัว แบบโชว์เนื้อโชว์หนัง วับ ๆ แวบ ๆ เท่าใดนัก ยิ่งเสื้อผ้า ล้ำสมัยสุด ๆ ยิ่งไม่สน เธอมักจะ แต่งตัวด้วย เสื้อผ้าที่ ดูเรียบร้อย ตัดเย็บ อย่างประณีต ลวดลายสะอาดตา ไม่โจ่งแจ้งเกินไป สมบัติส่วนตัว ที่ราคาแพงที่สุด ก็คือรองเท้า
ตัวเอกของซีรี่ส์นี้คือ 4 สาว อันได้แก่ แคร์รี่ แบรดชอว์ (Sarah Jessica Parker) คอลัมน์นิสต์สาวที่รักๆ เลิกๆ กับพ่อมหาเศรษฐีหนุ่มสุดหล่อฉายาว่า มิสเตอร์บิ๊ก (Chris Noth) อยู่เป็นประจำ, ซาแมนต้า โจนส์ (Kim Cattrall) แม่สาวแรงสูงที่คิดแต่เรื่องจะพาหนุ่มๆ
มาขึ้นเตียงยังไง, ชาร์ล็อต ยอร์ก (Kristin Davis) คุณหนูร้อยเปอร์เซ็นต์ที่วาดหวังจะมีครอบครัวแสนงดงามพร้อมลูกน่ารักสักหนึ่งคน และ มิแรนด้า ฮอบบ์ส (Cynthia Nixon) รายนี้ก็บ้างานจนตัวกับหัวเป็นเกลียวไปหมดแล้ว
ความสนุกของ SatC คือ การนำเอาปมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชายหญิงมาบอกเล่าแบบมันหยด ไม่ว่าจะเรื่องการตามหารักแท้ในเมืองใหญ่, มิตรภาพ และเซ็กซ์ เรียกว่าครบถ้วน จริงๆ ที่ผมติดตามดูไม่ใช่เพราะชอบเรื่องเซ็กซ์ล้วนๆ นะครับ (เชื่อหน่อยเต้อะ)
จุดที่ผมชอบก็คือการถ่ายทอดปัญหาต่างๆ ผ่านทางมุมมองของผู้หญิง ให้เราได้เข้าใจระบบความคิดของผู้หญิงยุคใหม่ ซึ่งผมว่าน่าค้นหาออกนะครับ แต่บางคนก็ดูไปบ่นไป
ว่าทำไมผู้หญิงไร้สาระแบบนี้ โธ่ หนุ่มๆ อย่างเราก็มีเรื่องไร้สารในสายตาพวกเธอเหมือนกันแหละครับ อย่าไปตั้งแง่สร้างช่องว่างเลยดีกว่าเน้อะ ดูอย่างเข้าใจครับ ไม่ใช่จับผิดโดยเอาเราเป็นที่ตั้ง
การขึ้นจอใหญ่ครั้งนี้ก็เป็นการสรุปเรื่องราวทั้งหมด พล็อตหลักที่แฟนๆ ตามลุ้นมาตั้งหลายปีคือ แคร์รี่กับบิ๊กจะลงเอยกันได้หรือไม่ก็จะได้คำตอบเอาคราวนี้แหละครับ (ซึ่งก็ลุ้นเยอะเหมือนกัน) ตามด้วยปมเล็กปมน้อยของซี้สาวอีกสาม คนที่รับหน้าที่กำกับคือ
Michael Patrick King ที่คลุกคลีกับซีรี่ส์นี้มาตลอด ดูหนังฟรี สไตล์เรื่องราวเลยยกบรรยากาศจากทีวีมาทั้งดุ้น ไม่ว่าจะสารพัดแฟชั่นเครื่องแต่งกายที่ยังคงคอนเซปต์ “เสื้อผ้าเล่าเรื่อง”
ได้อย่างยอดเยี่ยม (ประมาณว่าใช้เสื้อผ้าของตัวละครสื่ออารมณ์น่ะครับ ลองไปสังเกตกันดู) แฟนซีรี่ส์น่าจะสนุกนะครับ ผมก็ชอบ เพลินดี ขมวดเรื่องได้เหมาะมาก โดยเฉพาะฉากจบที่สื่อความหมายของมิตรภาพได้อย่างน่าปรบมือ
แม้คุณจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ผมว่าก็สนุกไปด้วยได้ เพราะมีการเกริ่นนำเรื่องให้รู้ว่าแต่ละสาวมีที่มาอย่างไร เพียงแค่คุณอาจไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับพวกแคร์รี่เท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นปัญหาครับ เหมือนดูหนังรัก + ชีวิต + ตลกสบายๆ สักเรื่อง มีครบทั้งเรื่องฮา แง่คิดชีวิตคู่ทั้งก่อนและหลังงานแต่ง จนไม่แปลกใจที่รายได้ปาเข้าไปร้อยล้านแล้ว แม้คำวิจารณ์จากเมืองนอกจะไม่ค่อยดีนัก คงเพราะคนส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้มาก เนื่องจากฉบับซีรี่ส์ทำได้ดี มีอุดมสมบูรณ์ด้วยบทพูดคมคาย ส่วนฉบับโรงก็ทำได้ในระดับหนึ่งน่ะครับ ความข้นอาจไม่คลั่กเท่าฉบับซีรี่ส์บางตอน คงเพราะหนังต้องการสรุปเรื่องแคร์รี่กับบิ๊กเป็นหลัก ถึงเอารายละเอียดอื่นๆ มาใส่มากไม่ได้ เดี๋ยวคนดูจะหลงประเด็นเปล่าๆ
เอาเถอะครับ ยังไงผมว่าคนที่เคยผ่านตาซีรี่ส์นี้มาก่อนคงมีไม่เยอะอยู่แล้ว ว่าแบบกลางๆ ดีกว่า… ดูหนังออนไลน์ ในฐานะหนังสักเรื่อง ก็จัดว่าสนุกคุ้มค่าตั๋วครับ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงน่าจะอินกับเรื่องราวได้ไม่ยาก แหม ออกจะครบเครื่องเรื่องความฝันของผู้หญิงขนาดนี้นี่ครับ มุกฮาก็เทมาตลอด มิตรภาพของสาวๆ ก็น่าประทับใจดี
ในหนังนั้นผมชอบฉากคืนวันปีใหม่มากเลยครับ มันสื่อให้เห็นว่าสี่สาวแต่ละคนมีชีวิตอย่างไรบ้าง บางคนมีความสุขดี บางคนก็ต้องอยู่ตามลำพัง แต่จนแล้วจนรอด ด้วยแรงแห่งมิตรภาพนี่แหละช่วยขับไล่ความอ้างว้างออกไปจนหมด ซึ่งธีมหลักของซีรี่ส์นี้ผมว่าเน้นประเด็นเพื่อนแท้เป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องบนเตียงอย่างที่เราเข้าใจกัน หนังบอกคนดูตรงๆ ว่าทุกปัญหาจะกลายเป็นเรื่องเล็กหากเรามีเพื่อนสักกลุ่มที่จริงใจ คอยหนุนเราให้ยืนต่อสู้กับมัน ใครเจอเพื่อนที่รักกันจริงก็ยินดีด้วยนะครับ ผมเองก็อินตรงเรื่องนี้แหละ ประเภทเพื่อนรักที่พอรู้ว่าเรามีปัญหาก็รีบมาแม้เวลาจะประมาณตีสามหรือไม่ก็โทรคุยยันเช้า นับเป็นของหาได้ยากแล้วครับในยุคนี้น่ะ
เอาล่ะ ถัดจากนี้ไปผมก็จะนำเอาสาระดีๆ แง่คิดเยี่ยมๆ ของชีวิต 4 สาวในหนังมาบอกเล่ากันโดยละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยเขียนลงใน MovieTime ไว้เมื่อเล่ม 373 นะครับ ใครยังไม่เคยอ่าน ก็มาอ่านกันนะครับ ส่วนใครเคยอ่านแล้ว มาอ่านซ้ำฟรีๆ ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ อิอิ
เจ้าแรกคือเธอคนนี้ครับ สาวผมสั้นที่สื่อถึงความมั่นประจำตัว เธอถือเป็นตัวแทน Working Woman ประจำมหานครนิวยอร์กและนครใหญ่ทั่วโลก ที่มีงานเป็นอาหารจานหลัก และความจริงจังเป็นของหวานตบท้าย
ในบรรดาสี่สาว เธอคนนี้แกร่งกว่าใครและเป็นที่ปรึกษาซี้ที่สุดของแคร์รี่ ทำงานก็เยี่ยม พร้อมจะก้าวสู่ตำแหน่งสูงได้สบาย มีอาชีพเป็นนักกฎหมาย จบจากฮาร์วาร์ด ชีวิตของมิแรนด้าค่อนข้างมีแบบแผน แต่ด้านชีวิตรักกลับเข้าข่ายออกแบบไม่ได้ คู่ชีวิตเธอคือ สตีฟ เบรดี้ (David Eigenberg) บาร์เทนเดอร์อารมณ์ดีที่เจอกันตอนกลางซีซั่น 2 ขณะกำลังนั่งรอแคร์รี่อยู่
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปแบบรักๆ เลิกๆ เนื่องด้วยช่องว่างทางฐานะและการศึกษา มีเข้าใจกันบ้างตีกันบ้าง แต่ในที่สุดด้วยความเห็นใจต่อกันและเธอเกิดท้องขึ้นมา เลยลงเอยที่การแต่งงานในซีซั่น 6 ซึ่งทั้งสองไม่ได้แต่งงานด้วยความจำใจนะครับ แต่ทั้งคู่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ปรับตัวหากัน (แม้จะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม) พูดได้เต็มปากว่าพวกเขาอยากใช้ชีวิตร่วมกัน แหม จริงๆ มิแรนด้าเกลียดการแต่งงานมาก แต่กลับยอมจัดงานเล็กๆ เพื่อสตีฟ แสดงว่ารักไม่ใช่เล่นเลยล่ะ
ส่วนฉบับหนังใหญ่ก็เล่าเรื่อง 4 ปีต่อมา มิแรนด้ากับสตีฟ ย้ายไปอยู่บรู๊คลินช่วยกันดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ชีวิตครอบครัวก็ดูโอเค แต่ติดอยู่นิดหน่อยตรงที่มิแรนด้ายังบ้างาน ชอบทำตัวเคร่งเครียดเสมอ ยังดีที่สตีฟ พยายามสร้างรอยยิ้มให้ แล้วก็ดูแลลูกเต้าด้วยความรักอย่างเต็มที่
แม่สาวแรงสูงขวัญใจแฟนซีรี่ส์ แหม ก็คุณเธอสุดยอดขโมยซีนนี่ครับ คำพูดแต่ละประโยคนี่ทั้งขำทั้งคม แล้วยังคิดแต่เรื่องบนเตียงตลอดเวลาด้วย ครบถ้วนทั้งเฉี่ยวเฟี้ยวและเสียว ซาแมนต้าเป็นภาพสะท้อนของหญิงยุคใหม่ที่ใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ใคร รักสนุกไปวันๆ บทบาทในซีรี่ส์เลยมักจะเป็นสีสันมากกว่าอะไรที่จริงจัง จนกระทั่งซีซั่นสุดท้าย (ปี 6) เธอตรวจพบมะเร็งเต้านมระหว่างตรวจร่างกายก่อนทำศัลยกรรมเสริมความเซ็กซี่ ทำให้แม่สาวร้อนแรงคนนี้เริ่มตระหนักความจริงของชีวิตขึ้นมา จนตัดสินใจจะใช้ชีวิตที่เหลือกับเจอร์รี่ เจอร์ร็อด หรือ สมิธ (Jason Lewis) ดาราหนุ่มสุดหล่อที่คอยเคียงข้างเธอตลอดการบำบัดมะเร็ง
ฉบับจอใหญ่เธอก็ยังอยู่กับสมิธ รับหน้าที่เป็นเอเยนต์ส่วนตัว เว็บดูหนัง คอยจัดคิวงาน พร้อมจัดการเขา (บนเตียง) เป็นงานรอง ตอนแรกผมไม่คิดว่าเธอจะมีปมใดๆ แค่ออกมาเริ่ดๆ เชิ่ดๆ แต่ที่ไหนได้กลับมีแฮะ เจ้าปมที่ว่านี่แฟนซีรี่ส์ที่อินกับการตัดสินใจของเธอในปี 6 อาจจะรู้สึกแปลกบ้าง แต่ผมก็คิดว่ามันก็สมควรแล้วล่ะครับที่ลงเอยแบบนี้
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ หลังจากซาแมนต้าพยายามทำตัวเป็นแม่บ้านให้หนุ่มข้างกายแบบสุดฝีมือ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังเป็นเธอ ก่อนหน้านี้นับสิบปีเธอถนัดเรื่องเขมือบหนุ่มๆ พอต้องมาทำตัวเป็นวิหคในกรงทองเลยทนไม่ไหว จึงตัดสินใจบอกเลิกกับสมิธ แล้วก็หันไปใช้ชีวิตแบบเดิม ผมว่าเป็นการจบลงด้วยดีนะ ทั้งสองไม่ได้มีปัญหากัน แต่ซาแมนต้าค้นพบตัวเองว่าเธอคงอยู่แบบนี้ได้ไม่นาน ขืนฝืนต่อไปเธอกับสมิธอาจทะเลาะกันสักวัน (จริงๆ ในเรื่องก็เริ่มแล้วล่ะ) ปัญหาอาจบานปลายทำให้สมิธต้องหมดอนาคต จมอยู่กับหญิงกลางคนอายุเกือบ 50 ทั้งๆ ที่มีโอกาสก้าวหน้า เจอสาวอายุน้อยกว่าแล
ะอาจรักเขามากกว่าเธอ อีกอย่างซาแมนต้าตระหนักในตอนท้าย ว่าเธออาจไม่ได้รักสมิธ แต่ที่ยอมอยู่ด้วยเนื่องจากรู้สึกติดหนี้บุญคุณตอนที่เขามาเฝ้าเธอระหว่างทำคีโมมากกว่า
เพื่อนผมที่ชอบซีรี่ส์ Sex and the City พอดูฉบับโรงใหญ่แล้วมาคุยกัน ว่ามีผิดหวังสมหวังบ้าง พอดีเจ้านี่ชอบชาร์ล็อตครับ ทีนี้ในหนังใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าชาร์ล็อตไม่ได้มีบทเด่นนัก เพราะเธอไม่ได้มีปมอื่นใดนอกจากเรื่องการมีลูกซึ่งก็ไม่ได้ลุ้นอยู่แล้ว แค่คลอดแล้วก็จบ ชีวิตเธอออกจะสุขีกว่าคนอื่นด้วย ปัญหาของเธอจริงๆ มีแค่ประการเดียวคือธาตุอ่อนจนกินอะไรผิดสำแดงไม่ได้แค่นั้นเอง เพื่อนผมเลยบอกว่าผิดหวังนิดๆ นึกว่าจะมีปมชีวิตมาเล่นแบบอีกสามสาวซะหน่อย
ผมเลยถามเพื่อนไปว่า “นายชอบชาร์ล็อตไม่ใช่เหรอ” มันก็ตอบว่า “เออดิ ทำไม”
“อ้าว แล้วคุณเธอไม่ทุกข์ มีความสุขกับสามีและลูกเนี่ย มันน่าผิดหวังตรงไหนล่ะ”
ตัวชาร์ล็อตอาจไม่มีจุดหักเหเข้มข้นเท่าสาวอื่น เว็บดูหนังฟรี แต่ถ้าจะสรุปสำนวนว่าเธอไม่มีสิ่งใดให้พูดถึงเลยก็คงไม่ถูกนัก เรื่องของชาร์ล็อตนี่แหละครับ เป็นแบบอย่างดีๆ ที่ควรค่าแก่การพูดถึง
คาแร็คเตอร์ของชาร์ล็อตนี่เข้าข่ายหัวเก่าหน่อยๆ เป็นคุณหนูผู้มองโลกในแง่ดี และตามหารักแท้มาตลอดชีวิต เธอเชื่อในความรักถึงขนาดมีคติประจำใจว่า Love conquers all (รักชนะได้ทุกสิ่ง) เธอจึงเป็นคนเดียวที่เชื่อมาตลอดว่ามิสเตอร์บิ๊ก (Chris Noth) กับแคร์รี่ (Sarah Jessica Parker) ต้องได้แต่งงานกันแน่นอน เพราะทั้งสองรักกันปานจะกลืนกิน มีปัญหาก็ร่วมกันฝ่าฟัน พยายามทำความเข้าใจกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชาร์ล็อตเริ่มต้นปฏิบัติการค้นหาชายในฝันตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอออกเดทแล้วคิดว่าจะเจอใครสักคนมาเติมเต็ม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอที่ใช่สักที เธอเคยแต่งงานครั้งแรกกับเทรย์ แม็กดูกัล (Kyle MacLachlan) คุณหมอผ่าตัดรูปงามสง่าอย่างแรง
ความรวยก็ไม่ต้องพูดถึง แต่เจ้าบ่าวก็มีปัญหาในเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ซ้ำยังมีความไม่เข้าใจกันในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องลูก เรื่องครอบครัว อันทำให้ความสัมพันธ์สิ้นสุดลง เช่นเดียวกับความฝันของเธอที่ค่อยๆ เฉาลงทุกขณะ เธอเคยวาดฝันไว้ว่าจะมีครอบครัวน่ารัก กับลูกสาวสักคน แต่ความหวังมันช่างริบหรี่เหลือเกิน … แล้วก็เหมือนเขาว่าครับ รักแท้มักมาตอนที่ปล่อยวางเลิกใส่ใจกับมันแล้ว