เป็นเรื่องปกติของฮอลลีวูดที่มักจะฟื้นคืนชีพ ต่อลมหายใจหนังดังยุคอดีต ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นการกลับมาที่ได้รับคำชื่นชมหรือเสียงก่นด่า อย่างน้อยที่สุดหนังเรื่องนั้นก็ได้ทำหน้าที่ พาคนรุ่นเก๋าให้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำ Top Gun: Maverick (2022) ท็อปกัน มาเวอริค ขณะที่คนยุคปัจจุบันก็ได้โอกาสในการเสพความเป็นตำนาน.. ล่าสุดกับ Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ก็คือ หนังภาคต่อของ Top Gun (ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า) ที่ผ่านกาลเวลากว่า 3 ทศวรรษ จนกลายเป็นตำนาน เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่อง ทอม ครูซ
Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) เล่าเรื่องราวของ พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) นักบินระดับสูงของกองทัพเรือที่มุ่งมั่นกับการท้าทายและยกระดับการบินมานานกว่า 30 ปี กระทั่งเขาได้รับหน้าที่สำคัญในการฝึกสอนหน่วย Top Gun ที่เต็มไปด้วยนักบินเลือดใหม่ชั้นยอด เพื่อคัดเลือกผู้ที่พร้อมที่สุดในการปฏิบัติภารกิจพิเศษที่มีเป้าหมายคือต้องสำเร็จเท่านั้น แต่โอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์! ภารกิจของครูฝึกที่น่าหนักใจนี้ ยิ่งหนักหนาขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อหนึ่งในนักบินคือ “รูสเตอร์” (ไมล์ส เทลเลอร์) ลูกชายของเพื่อนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว นั่นทำให้เขาต้องพยายามวางแผนและฝึกฝนเพื่อให้หน่วย Top Gun พร้อมทำภารกิจและรอดชีวิตมาให้ได้ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจตลอดชีวิตการบินของเขา..
เชื่อว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะไม่เคยดู Top Gun (ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า) ในโรงภาพยนตร์ แต่ก็คงได้มีโอกาสดูผ่านจอทีวีไม่ก็จอคอมฯ เช่นเดียวกับผู้เขียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะการดูผ่านจอคอมฯ หรือวิธีการนำเสนอของหนังยุค 80 กันแน่ ที่ทำให้ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกชอบอะไรเป็นพิเศษกับหนังเรื่องนี้ แม้จะแอบทึ่งกับการถ่ายทำในยุคสมัยนั้น ที่นำเสนอภาพการบินบนน่านฟ้าที่ให้ความรู้สึกสมจริง และได้เห็นนักแสดงที่หลายคนกลายเป็นตำนานไปแล้วแสดงในหนังเรื่องนี้ก็ตามที หนังใหม่
Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ภาคต่อที่ครั้งนี้ได้โอกาสดูบนจอภาพยนตร์ IMAX กลับเป็นความสนุกและบันเทิงไปกับแอ็กชันบินไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกของสถานการณ์ที่บีบคั้นกดดัน ผ่านการนำเสนอที่รวดเร็ว รุนแรง ด้วยเทคนิคถ่ายทำในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกราวกับเราเข้าไปนั่งอยู่ใน Cockpit หรือห้องคนขับเครื่องบินก็ไม่ปาน
ยิ่งได้ระบบเสียงรอบทิศทาง จนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของเบาะนั่งขณะที่ดู ยิ่งเพิ่มความอินไปกับฉากตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ลงท้ายกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกครั้งในการดูหนังบนจอภาพยนตร์ ที่การดูบนจอทีวีหรือจอคอมฯ ไม่มีทางมอบความรู้สึกนี้ให้ได้แน่ๆ ตอกย้ำว่าหนังบางเรื่องมันถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับดูบนจอภาพยนตร์เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุด
หากใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องดูภาคต้นเพื่อเตรียมตัวแต่อย่างใด หนังให้เวลามากพอที่จะปูเรื่องราวให้คนดูได้เข้าใจที่มาที่ไป ว่าทำไมมาเวอริคถึงเป็นตำนาน ความบาดหมางกับรูสเตอร์ ที่สถานะไม่ต่างจากพ่อ-ลูกที่มีปัญหาผิดใจกัน อีกทั้งยังตั้งคำถามสำคัญ ว่ายุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดรวดเร็วขนาดนี้ นักบินแบบมาเวอริค ยังจำเป็นอีกหรือไม่? ซึ่งตรงนี้คือจุดสำคัญที่ช่วยผลักดันเรื่องราว เป็นการท้าทายของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงที่มาเวอริคต้องเผชิญหน้า
การบ่มเพาะผ่านกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างใน Top Gun ที่กำกับโดย โทนี สก็อตต์ กลายเป็นตำนาน เป็นเส้นทางให้ Top Gun Maverick ที่กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยผ่านงานกำกับอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion ได้เดินตาม ทั้งวิธีการนำเสนอ เพลง ฉากคลาสสิกอย่าง ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งฉากเล่นกีฬาที่ชายหาด ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นดั่ง Nostalgia ให้แฟนหนังยุค 80 ได้หวนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งอดีต
ในทุกครั้งที่ได้ดูหนังของ ทอม ครูซ เรามักจะอินไปกับการแอ็กชันของเขา แต่ครั้งนี้ด้วยฉากแอ็กชันที่เป็นการขับเครื่องบินรบ ทำให้เงื่อนไขทางแอ็กชันเปลี่ยนไป ทอม ครูซ ต้องถ่ายทอดฉากแอ็กชันผ่านทางแววตาเป็นสำคัญ จึงอย่าแปลกใจหากครั้งนี้เราจะอินไปกับการแสดงของเขา
ซึ่งทีมเขียนบทที่ประกอบไปด้วย เออเรน ครูเกอร์, เอริค วอร์เรน ซิงเกอร์ และ คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี่ (มือเขียนบทคู่บุญ ทอม ครูซ) มีส่วนไม่น้อยเลยในการสร้างเรื่องราวภาคต่อ ที่ดูไม่ฝืนและเข้มข้นในแบบที่ภาคต่อควรจะเป็น ที่ช่วยยกระดับฉากแอ็กชันและการแสดงที่เต็มไปด้วยดราม่าให้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและงดงาม
ภาพรวมของ Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ถือว่าน่าพอใจมากๆ เป็นหนังดูง่าย เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะกับฉากแอ็กชันบนน่านฟ้าที่สมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ และเรื่องราวที่สานต่อได้อย่างมีเนื้อหนังไม่ตื้นเขิน เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งหนังภาคต่อที่ได้รับการยกย่องในอนาคต
เหนืออื่นใดที่น่ายกย่องเป็นพิเศษ คือ นักแสดงอย่าง ทอม ครูซ ที่ผ่านกาลเวลาไปกี่ทศวรรษ เขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้ บนเส้นทางของนักแสดงอาชีพที่ยังผลิตและถ่ายทอดผลงานระดับสูงมาให้แฟนๆ ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง จะว่าไปเส้นทางการแสดงของทอม ครูซ ก็คล้ายกับเส้นทางนักบินชั้นยอดของมาเวอริค
วันหนึ่งก็คงถึงเวลาที่รุ่นใหม่จะก้าวขึ้นมาทาบรัศมี ไม่ก็ถึงวันที่พลังการแสดงของเขาอ่อนลง และนั่นคงเป็นสัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาที่อาชีพการแสดงของทอม ครูซ ต้องแลนดิ้งลงจอดเสียที.. แต่หากใครที่ได้ดู Top Gun Maverick จบ เชื่อว่าก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้เขียนว่า “ใช่ วันนั้นสักวันคงมาถึง แต่..ไม่ใช่วันนี้”
ผ่านไป 36 ปี นับตั้งแต่ภาคแรก Top Gun (1986) หนังที่หลายต่อหลายคนไม่คิดว่ามันจะมีภาคต่อก็ได้คลอดออกมาในชื่อ Top Gun: Maverick (2022) พร้อมด้วยการกลับมาของ Pete ‘Maverick’ Mitchell ที่แสดงโดย Tom Cruise มาในคราวนี้เขากลับมาในฐานะครูฝึกสอนโรงเรียน Top Gun เพื่อเตรียมฝึกเหล่าทหารระดับหัวกระทิ ไปทำภารกิจเสี่ยงอันตรายที่ไม่มีช่องว่างให้ความผิดพลาด เพราะนั่นหมายถึงชีวิต ดูหนัง
แน่นอนว่าภาคต่อหนังตำนานขนาดนี้ ผ่านมา 36 ปี ย่อมเกิดความคาดหวังแน่นอน แต่! มันทำได้ถึงทุกความคาดหวังของเราเลย แถมยังทำได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก ๆ มันคือภาคต่อที่ควรค่ากับคำว่าภาคต่อจริง ๆ ยกระดับทุกอย่างจากภาคแรก อะไรที่มันดีอยู่แล้ว ก็ยังทำได้ดียิ่งขึ้นเข้าไปอีก
ส่วนดีต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย เริ่มตั้งแต่ตัวเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ตัวหนังมีการกล่าวถึงเยอะอยู่ แต่ถ้าดูมาก่อนจะอินกว่า บทพูดเท่ ๆ ก็ยังมี, แนวทางการดำเนินเรื่องที่เหมือนกับภาคแรกเลย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี มันยึดแนวทางเล่าเรื่องแบบเดิมแต่ยังไม่น่าเบื่อ แถมยังเป็นการเซอร์วิสแฟน ๆ ของหนังภาคแรกกลาย ๆ ด้วย, อีกทั้งฉากโรแมนซ์ของภาคนี้ที่พอหอมปากหอมคอ แต่เรียกรอยยิ้มได้เช่นเดิม, และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากขับเครื่องบินที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์เลย หนังฟรี
ในภาคนี้มันดูสมจริงขึ้น อาจจะเพราะมีฉากที่นักแสดงขับกันเองจริง ๆ ด้วย เราได้เห็นดีเทลรายละเอียดต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นกว่าภาคแรกเยอะมาก ทั้งใน cockpit ที่กว้างขึ้นเห็นท้องฟ้าดูสมจริงขึ้น ได้ยินเสียงหายใจของคนขับ สีหน้าต่าง ๆ ที่ชัดเจนมาก, พาร์ทของภารกิจก็ลุ้นระทึกจิกเบาะกันเลยทีเดียว แค่ฉากขับเครื่องบินไปมาก็เพลินแล้วอะ รวมถึงฉาก Dog fight ที่โคตรมันส์ การดีไซน์แอ็คชันบนเวหาทำได้สนุกมาก นับว่าเป็นฉากแอ็คชันไร้ที่ติ
การถ่ายทำในเรื่องนี้นับว่ายอดมาก ชื่นชมทีมงานทุกคนเลย เริ่มตั้งแต่การติดกล้องใน cockpit จับสีหน้า ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าในภาคแรกทำยังไง แต่ในภาคแรกนั้นเราจะเห็นสีหน้านักแสดงแบบ ecu เสียส่วนมาก จังหวะตัดต่อตอนขับเครื่องบินมันเลยจะดูโดด ๆ ไปบ้าง เพราะเราไม่เห็นรายละเอียดข้างนอกเลย แต่พอมาเป็นภาคนี้
เราจะเห็นฉากต่อฉากการเชื่อมโยงของแบ็คกราวที่ส่งอารมณ์คนดูได้อย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยการที่ต้องใช้เครื่องบินจริง ๆ ตามเก็บภาพต่าง ๆ นอกเครื่องกลางอากาศด้วย รวมถึงทีมงานภาคพื้นดินที่ต้องจับภาพเหล่าเครื่องบินจากบนพื้นให้ทันเช่นกัน นับว่าเป็นการถ่ายทำที่สุดยอดจริง ๆ ดูหนังฟรี
ทางด้านนักแสดงถือว่าทำงานกันหนักมาก พวกเขาต้องเข้าฝึกสภาพร่างกาย จิตใจและฝึกบินกันจริง ๆ เป็นเวลากว่า 3 เดือน และต้องชื่นชม Tom Cruise จริง ๆ ที่อายุปาเข้าไปเลข 6 แล้วยังจะกล้าบ้าบิ่นขับเครื่องบินเองจริง ๆ อีก แถมยังคงคาแรคเตอร์ตัวละคร Pete ‘Maverick’ Mitchell เอาไว้ได้ ที่ถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบที่ดูโตขึ้นแต่ยังไว้ลายความเป็นตัวละครนี้แบบในภาคเก่าได้อย่างดี ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ตัวละครจะเด่น ๆ ไม่กี่ตัว แต่ก็มีคาแรคเตอร์ชัดให้น่าจดจำได้เช่นกัน
และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือตัวละครของ Jennifer Connelly ที่มาในบท Penny Benjamin เข้าใจว่าทำไมเลือกเปลี่ยนบทนางเอกนะ นั่นก็เพราะเรื่องของหน้าตาต้องหาตัวนักแสดงที่อายุใกล้เคียงกันและยังหน้าตาดูดีเทียบเคียง Tom Cruise ได้ด้วย ซึ่งนางเอกเก่าอย่าง Kelly McGillis ตอนนี้ก็แก่เกินไป เลยเลือกที่จะหยิบนำตัวละครลูกสาวนายพลที่
Maverick หักอกไว้ในภาคแรกมาสานต่อในภาคนี้ เลยเอา Connelly มารับบท และเลือกที่จะสานต่อตัวละครนี้ได้อย่างชาญฉลาด
ด้านเสียงประกอบ นี่เราดูในโรงปกติ ยังรู้สึกว่ากระหึ่มและทำได้ดี นี่ถ้าดูในโรงอย่าง IMAX ต้องกระหึ่มกว่านี้และมีเก้าอี้สั่นกันบ้างอะ เพลงประกอบที่คุ้นเคยในภาคแรกก็มีมาให้คิดถึง รวมถึงดนตรีแต่ละฉากก็เข้ากับสถานการณ์ขับอารมณ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดี ดูหนังออนไลน์
สรุปแล้ว Top Gun: Maverick เป็นหนังที่เราประทับใจมาก ดีงามทุกส่วน ยกระดับในทุกแง่ของภาคแรกอาจจะมีติดเรื่องพาร์ทดราม่าระหว่างตัวละคร Maverick กับลูกของ Goose นิดนึง มันคลี่คลายง่ายไปและประเด็นมันน่าจะแรงกว่านี้ได้อีกหน่อย กับเรื่องบางตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ Maverick นอกเหนือจากนั้นดีงามมากทุกส่วนจริง ๆ