หนุ่มนิวยอร์กนาม จอห์น ชิกกี้ โดโนฮิว (Chickie Donohue)สร้างวีรกรรมบ้าระห่ำด้วยการหอบเบียร์กระป๋องใส่กระเป๋าใบโต ดูหนังออนไลน์ แล้วดั้นด้นเดินทางโดยเรือเป็นเวลา 2 เดือน เพื่อเอาเบียร์ไปฝากเพื่อน ๆ ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เรื่องราวของเขานี้ เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันมายาวนานตั้งแต่ปี 1967 ที่เขาก่อวีรกรรมในปีนั้น แล้วถูกเล่าต่อเป็นบทความในนิตยสารหลายเล่ม จนในปี 2017 ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 เรื่องราวนี้ก็ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ The Greatest Beer Run Ever: A Memoir of Friendship, Loyalty, and War ดูหนังฟรี เขียนโดยตัว ชิกกี้ โดโนฮิว เอง ร่วมกับ เจ.ที. มัลรอย (J. T. Molloy) อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ NY Daily News The Greatest Beer Run Ever (2022) ดูหนัง
ด้วยเหตุที่วีรกรรมของชิกกี้นั้น เป็นการกระทำที่ระห่ำ อาจหาญ และมีความคะนองของชีวิตวัยรุ่นที่เล่าต่อกี่ครั้งก็ยังสนุก แม้เรื่องราวจะผ่านมากว่า 50 ปีแล้วก็ตาม สมกับที่ชิกกี้เองก็บ่นว่าเบื่อที่จะเล่าเรื่องราวนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนชิกกี้บอกว่าพอกันที แต่ในปี 2015 วีรกรรมของชิกกี้ก็กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อทีมงาน Pabst Blue Ribbon ได้ถ่ายทอดตำนานนี้ออกมาในรูปสารคดี 13 นาที เนื่องในวันทหารผ่านศึก มีผู้ชมไปแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง ถึงตรงนี้ ชิกกี้จึงตัดสินใจเล่าวีรกรรมของเขาออกมาเป็นหนังสือมันซะเลย แต่วีรกรรมสุดโต่งของเขาก็ยังไม่จบลงไปง่าย ๆ เมื่อสตูดิโอ Skydance Media ตกลงซื้อลิขสิทธิ์หนังสือมาสร้างเป็นภาพยนตร์
ในฐานะที่ผู้เขียนได้เคยเขียนเรื่องราวการผจญภัยของชิกกี้มาแล้ว ก็เห็นว่าเป็นเรื่องราวที่ฟังดูเหลือเชื่อและน่าสนุกดี สมกับที่เรื่องราวนี้ไม่เคยห่างหายไปตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมานี่ แต่การที่เรื่องราวนี้จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้นั้น ก็ยังสร้างความรู้สึกแคลงใจว่า เรื่องราวของหนุ่มนิวยอร์กหิ้วเบียร์มาฝากเพื่อนที่รบอยู่ในเวียดนามนั้น การเล่าสู่กันฟังแบบสั้น ๆ ก็ดูน่าสนใจดี แต่จะเล่าออกมาเป็นหนังยาวอย่างไรให้น่าสนใจ ก็จนกระทั่งได้ดูหนังแล้ว
ถึงยอมรับว่าหนังอยู่ในมือของผู้กำกับและเขียนบที่ถูกคน เพราะ ปีเตอร์ ฟาเรลลี่ นั้นก็มีประสบการณ์ในการทำหนังที่ว่าด้วยการเดินทางไกลบนฉากหลังที่ประเด็นขัดแย้งเรื่องสีผิวกันมาแล้วใน Green Book พอมาครั้งนี้ใน The Greatest Beer Run Ever ก็ถือว่ามาในธีมที่ใกล้เคียงกัน เรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อนกับประเด็นเรื่องความเห็นของประชาชนอเมริกันต่อสงครามเวียดนาม ที่แบ่งเป็น 2 ฝ่ายกันอย่างชัดเจน
เป็นเรื่องปกติล่ะครับ เมื่อหนังสือไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือบันทึกเหตุการณ์จริง เมื่อถูกดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ก็ย่อมมีการเสริมเติมแต่ง จุดประสงค์เพื่อให้เรื่องราวตรึงความสนใจผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างในเรื่องนี้หนังยังคงพล็อตเรื่องหลักไว้ว่า เหตุการณ์เกิดในปี 1967 ช่วงที่อเมริกาส่งกองกำลังไปรบในสงครามเวียดนาม ชิกกี้สังสรรค์กับเพื่อน ๆ ในบาร์ประจำ ซึ่งเพื่อน ๆ หลายคนที่เคยกินดื่มด้วยกันก็ถูกส่งไปรบในเวียดนาม บาร์เทนเดอร์ก็เลยเปรยขึ้นมาว่า คิดถึงหนุ่ม ๆ ที่เปรียบเสมือนลูกหลานแต่ต้องถูกไปส่งในเวียดนาม
อยากให้หนุ่ม ๆ พวกนี้ได้ดื่มเบียร์ด้วยจัง ชิกกี้ก็เลยโพล่งออกมาว่า งั้นเขาจะรับอาสาเอาเบียร์ไปส่งให้เพื่อน ๆ เอง หนังก็เดินเรื่องเร็วครับ ไม่ถึง 30 นาที ชิกกี้ก็ไปถึงเวียดนามแล้ว เป้าหมายของชิกกี้คือเพื่อน ๆ 6 คน คนหนึ่งเสียชีวิตในสนามรบ อีกคนปลดประจำการกลับมาสหรัฐฯ แล้ว ที่ยังประจำการอยู่ 4 คนนั้น ชิกกี้ก็ดั้นด้นไปส่งเบียร์ได้ครบทั้ง 4 คน แต่เรื่องราวที่ถูกปรับแต่งในส่วนนี้ก็คือ ในเรื่องจริงนั้นชิกกี้อยู่ในเวียดนามถึง 2 เดือน แต่ในหนังนั้นมีการปรับระยะเวลาเหลือแค่ 3 วัน การจำกัดเวลาขึ้นมานั้นก็ได้ผลดี ชิกกี้เลยต้องปฏิบัติภารกิจแข่งกับเวลา ถ้าเลย 3 วันเรือที่เขาโดยสารมาจะออกจากท่า เขาจะไม่สามารถกลับนิวยอร์กได้
รวมถึงการเพิ่มตัวละครนักข่าวสงครามอย่าง อาร์เธอร์ โคตส์ เข้ามา แล้วได้ รัสเซล โครว์ (Russell Crowes) มารับบทนี้ ซึ่งเดิมเป็นบทของ วิกโก มอร์เตนเซน ที่ถอนตัวออกไป หลังหนังตกมาอยู่กับ APPLE TV มอร์เตนเซนก็ถอนตัวออกไป เวลาของโคตส์บนหน้าจอนั้นแม้จะไม่มากนัก โผล่มาแค่ช่วงท้ายของหนัง แต่บทบาทของเขาก็มากพอดู ช่วยทำให้หนังมีฉากผจญภัยในเมือง ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้ชิกกี้ที่เคยสนับสนุนบทบาทของกองทัพอเมริกันมาตลอดให้เปลี่ยนไป และด้วยแรงผลักดันของตัวละครชาวเวียดนามอย่าง โอคลาโฮมา ที่น่าจะสะเทือนใจผู้ชมพอดู
ด้วยหน้าหนังที่ว่าด้วยสงครามเวียดนามนั้น อาจจะทำให้คนดูคาดเดาไปว่าหนังน่าจะตึงเครียดพอดู แต่ปฏิบัติการของชิกกี้ที่ว่าด้วยการส่งเบียร์ ก็ดำเนินไปบนความคึกคะนองพอตัว ทีมเขียนบททั้งสามก็สามาถบาลานซ์พาร์ตจริงจังกับพาร์ตเบาสมองกันได้ลงตัวดี ชอบที่ทีมเขียนบทเลือกจะหยิบเอาประเด็นเล็ก ๆ ที่ว่าเจ้าหน้าที่ในกองทัพเข้าใจว่าเขาเป็น CIA จึงอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี ช่วยทำให้หนังดูเบาขึ้นเยอะ และเรียกรอยยิ้มคนดูได้เป็นพัก ๆ ไม่ได้มีมุกถึงขั้นเรียกเสียงหัวเราะได้ดัง ๆ ส่วนประเด็นขัดแย้งของหนัง
ที่ว่าด้วยการขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มต่อต้านสงครามเวียดนาม ผ่านทัศนคติและมุมมองของเอฟรอนที่ได้มาประสบพบเห็นเหตุการณ์จริงและทำให้มุมมองต่อสงครามนั้นเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้เน้นหนักประเด็นนี้จนตึงเครียดเกินไป และหนังก็ไม่ได้หลุดธีมที่วางหน้าหนังให้เป็นหนังอารมณ์ดี ถึงแม้จะมีฉากหลังเป็นสงคราม มีคนตายให้เห็น แต่ก็ไม่ได้นำเสนอภาพความรุนแรงของสงครามให้เห็นจนถึงขั้นหดหู่นัก
เดิมทีทีมงานวางตัว ดีแลน โอไบรอัน (Dylan O’brien) พระเอกจากไตรภาค Maze Runner ไว้ในบทชิกกี้ แต่โอไบรอันก็ลาโปรเจกต์ไปพร้อมกับมอร์เตนเซน ก็เลยได้ แชค เอฟรอน (Zac Efron) มารับช่วงต่อแทน ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนตัวที่ดูเหมาะกว่าเดิม ถ้าเทียบรูปร่างหน้าตาแล้ว เอฟรอนดูมีความละม้ายกับชิกกี้ตัวจริงมากกว่า และด้วยความที่เอฟรอนมักจะติดภาพพระเอกอารมณ์ดีมาในระยะหลัง ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับบทนี้
หนังยกกองมาถ่ายในบ้านเราเมื่อปีที่แล้วนี่ ไปถ่ายกันหลายที่มาก หัวหิน ดอยเชียงดาวที่เชียงใหม่ ราชบุรี เป็นช่วงที่ รัสเซล โครว์ มาถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้แล้วทวีตจนเป็นที่ฮือฮากันไปนั่นล่ะ ก็ต้องชื่นชมทีมงานครับ ดัดแปลงพื้นที่บ้านเราให้ดูเป็นเวียดนามปี 1967 ได้อย่างแนบเนียนมาก ๆ
โดยรวมก็ถือว่า The Greatest Beer Run Ever เป็นหนังที่มีครบทั้งสาระบันเทิง ทีมงานสร้างตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกสร้างมาฉายทางสตรีมมิง เพราะดูแล้วถ้าฉายโรงไม่น่าจะได้กำไร ด้วยประเด็นของหนังยังไม่แข็งพอที่จะเรียกคนดูให้ออกจากบ้านไปซื้อตั๋วดูเรื่องนี้ในโรง หรือดูแล้วก็คงจะไม่ออกปากเชียร์ให้เพื่อน ๆ ไปดูอีกด้วยแหละ เพราะเนื้อหาหนังก็ไม่ได้เข้มข้นถึงกับต้องจดจ่ออยู่กับหน้าจอตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง เดินไปเข้าห้องน้ำกลับมาดูต่อก็น่าจะยังตามเรื่องได้ทัน ได้ความบันเทิงพอประมาณครับ ดูไปทำนู่นทำนี่ไปด้วยได้ไม่เสียดายเวลา แต่ถ้าพลาดไปก็ไม่น่าเสียดาย
The Greatest Beer Run Ever เป็นเรื่องราวในปี 1967 ช่วงระหว่างที่สหรัฐอเมริกาส่งกองทัพไปร่วมทำสงครามในเวียดนาม ชัคกี้ โดโนฮิว เป็นหนุ่มชาวนิวยอร์ก ที่เพื่อน ๆ ละแวกบ้านของเขาหลายคนเข้าร่วมกองทัพและถูกส่งตัวไปทำสงครามครั้งนี้ ในขณะที่เขายังเรื่อยเปือยและใคร ๆ
ก็มองว่าไม่เอาถ่าน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจสุดบ้าบิ่น ด้วยการรับภารกิจแบกเบียร์กระป๋องใส่กระเป๋าลงเรือข้ามทวีป เพื่อไปส่งมอบให้กับเพื่อน ๆ ของเขาที่อยู่ในสมรภูมิรบ กับปฏิบัติการตัวคนเดียวที่น่าเหลือเชื่อ แต่มันได้เกิดขึ้นกับเขาแล้วจริง ๆ
นี่คือผลงานชิ้นล่าสุดของผู้กำกับ “ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่” ผู้สร้างหนังเจ้าของรางวัลออสการ์ อย่าง Green Book ที่ยังคงพกสายเส้นและจังหวะการเล่าเรื่องสไตล์ทะมัดทะแมง พร้อมกับอินเนอร์ตลกร้ายเข้ามาในหนังได้อย่างหอมปากหอมคอ เขายังร่วมเป็นหนึ่งในทีมดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วย โดยหยิบเอาบันทึกเรื่องจริงของ ชัคกี้ โดโนฮิว มาร้อยเรียงเป็นภาพออกมาในหนังสงครามเรื่องนี้ แม้ว่าหลาย ๆ อย่างจะมากับองค์ประกอบที่สูตรสำเร็จแบบจับวาง แต่มันก็ทำงานไหลลื่นด้วยดีไปตลอดทั้งเรื่องเช่นกัน
ทางด้านงานสร้างและเทคนิคในหนัง The Greatest Beer Run Ever นั้น ก็ถือว่าดีตามมาตรฐาน อาจจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาก็ถือว่าเนรมิตฉากเวียดนามในโลเคชั่นเมืองไทยได้ค่อนข้างน่าพอใจ เก็บรายละเอียดยิบย่อยได้อย่างเหมาะสม ใช้เทคนิคพิเศษต่าง ๆ แต่งเสริมเข้าไปได้อย่างดี แม้จะมีบางจุดบางมุมอยู่บ้างที่ซีจีดูโดด ๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่จุดที่เป็นข้อบกพร่องต่อตัวหนังทั้งเรื่องเท่าไหร่
ทางด้านการแสดงไม่ต้องเป็นกังวลอะไรเลย “แซ็ค แอฟรอน” คือโดดเด่น เขาสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ค่อนข้างสบาย การแสดงระดับมืออาชีพและไหลลื่นในพรสรรค์ถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาได้ดี แม้ว่าบทในคาแรกเตอร์นี้จะขาด ๆ เกิน ๆ ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเขารับหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นผลงานการแสดงที่เยี่ยมยอดที่สุดของเขาอะไร เป็นเพียงการแสดงแบบเซฟโซนที่เล่นออกมามากน้อยก็ยังทำได้ดีอยู่
ขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไร เพราะว่าข้อด้อยของบทหนังที่ไม่ได้ให้ความสำคัญและสร้างมิติให้กับตัวละครอื่น ๆ เท่าไหร่นัก จึงทำให้หลายตัวละครเข้ามาเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น “รัสเซลล์ โครว์” หรือ “บิล เมอร์เรย์” นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ใส่เข้ามาแบบงั้น ๆ ส่วนนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งหลากหลายคนก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี แม้ว่าบทจะยังไม่ส่งเสริมทำให้พวกเขามีซีนที่น่าจดจำในหนังได้เท่าไหร่
ไม่เพียงเท่านั้น The Greatest Beer Run Ever ยังถือว่าเป็นหนังที่สอดแทรกอารมณ์ตลกร้ายและด้านเทา ๆ ที่เสียดสีไปถึงภารกิจสงครามของอเมริกาได้อย่างปั๊วะปังเบา ๆ หนังได้ทิ้งข้อความใหญ่ ๆ เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียในการเข้าไปข้องเกี่ยวและแทรกแซงทำสงครามในอดีตของอดีต เป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่ได้ทำการตัดสินในตัวหนัง แต่ปล่อยให้ผู้ชมได้ไปขบคิดและรีเสิร์ชค้นหาประวัติศาสตร์กันต่อเล่น ๆ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว
สรุปแล้วนั้น ภาพรวมของหนังสงครามกับภารกิจส่งเบียร์ให้เพื่อนในครั้งนี้ มันฟังอาจจะดูเหลือเชื่อและเกินจริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นและมีลายลักษณ์หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่ามีอยู่จริง
หนังอาจจะไม่ได้เพอร์เฟคระดับล่ารางวัล แต่ก็เป็นหนังที่มีจังหวะการเล่าเรื่องที่สนุกกับบทหนังที่ออกจะอ่อนด้อยต่ำมาตรฐานไปสักหน่อยกับทีมผู้สร้างชุดนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ยังทิ้งทวนไว้กับแง่คิดต่าง ๆ เกี่ยวกับสงครามและการใช้ชีวิต เพราะไม่มีอะไรจริงยิ่งไปกว่าการได้เจอกับตัว..เห็นกับตา นั่นแหละคือข้อพิสูจน์แห่งชีวิตจริง