หลังจากเหตุการณ์ กดปุ่ม’ ใน Fallen Kingdom’ (2018) ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของบทสรุปไตรภาคไดโนเสาร์ครองโลกใน หรือ ‘จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของไตรภาคจูราสสิค เวิลด์ และภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในจักรวาลจูราสสิค นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ภาคแรก ออกฉายเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วโน่น Jurassic World Dominion (2022)
แต่กว่าที่น้องบลู และเหล่าไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิกจะได้กลับมาโลดแล่นกันในปีนี้ ตัวหนังก็ถือว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพอสมควร ทั้งกระแสจากภาคที่แล้ว ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ผลงานการกำกับของ ‘เจ. เอ. บาโยนา’ (J. A. Bayona) ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียงแค่ 47% ต่ำที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์จูราสสิก พาร์ก แม้จะทำรายได้ค่อนข้างดี แต่พอออกทรงลูกผีลูกคนขนาดนี้ อาจารย์ปู่ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) Executive Producer เจ้าของแฟรนไชส์ เลยเรียกตัว ‘โคลิน เทรวอร์โรว์’ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) กลับมากำกับในภาคนี้อีกครั้ง
อีกอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าน้อนไดโนเสาร์กิแกนโนโตซอรัส (Giganotosaurus) ก็คือ ช่วงเดือนมีนาคม 2020 กองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำทั้งที่เพิ่งเปิดกล้องไปได้แค่ 13 วัน เพราะการระบาดของโควิด-19 ทีมงานเลยต้องทำงานโพสต์โปรดักชัน และงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์กับฟุตเทจที่ถ่ายมาได้ไปพลาง ๆ และจำต้องยอมเลื่อนกำหนดฉายจากเดิมที่วางแผนฉายในปี 2021 ออกไปอีก 1 ปีเต็ม ดูหนัง
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเดือนกรกฏาคม 2020 ทางยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (Universal Studios) จึงยอมควักเงินอีก 5 ล้านเหรียญสำหรับเซ็ตมาตรการความปลอดภัย ถือว่าเป็นกองถ่ายแรก ๆ ที่กลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้งหลังการระบาดครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การร่างเอกสารคู่มือมาตรการจำนวนนับร้อยหน้า แจกให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคน มีจุดตรวจคัดกรอง มีห้องฉุกเฉินในกองถ่ายกรณีพบผู้ติดเชื้อ นักแสดงและทีมงานจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ยูนิเวอร์แซลเช่าไว้ทั้งอาคารเพื่อใช้เป็นบับเบิลที่ควบคุมอย่างเข้มงวด
สำหรับเรื่องย่อ ๆ ในภาคนี้ ก็จะเริ่มดำเนินเรื่อง 4 ปีให้หลังจาก ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ เกาะ ‘อิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ (ตรงตามชื่อจูราสสิก เวิลด์ซะทีสินะ…) ‘โอเวน เกรดี’ (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ ‘แคลร์ เดียริง’ (Bryce Dallas Howard) อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และน้อง ‘เมซี ล็อกวูด’ (Isabella Sermon) ปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึ
ส่วนน้องบลู ไดโนเสาร์แรปเตอร์สีน้ำเงิน ก็มีลูกแล้วด้วยตอนนี้ ในภาคนี้ ทั้งสามคนจึงต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ และเผชิญหน้ากับบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ (BioSyn Genetics) ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง โดยมี ‘อดัม แกรนต์’ (Sam Neill), ‘เอียน มัลคอล์ม’ (Jeff Goldblum)), ‘เอลลี แซตเลอร์’ (Laura Dern) และ ‘ดร. เฮนรี วู’ (BD Wong) แก๊งผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิก พาร์ค มาร่วมผจญภัยหาทางหยุดยั้งวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หนังฟรี
ตัวหนังในภาคนี้ถือว่าขยายสเกลแบบเล่นใหญ่เวอร์วังทุกภาคส่วนจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งนักแสดงจากทั้งภาคเก่าภาคใหม่ พันธุ์ไดโนเสาร์ที่หลากหลายมากที่สุด และอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้วเรียบร้อย (ส่วนบางตัวนี่ก็อัปเกรดเกินเบอร์ไปหน่อยนะ) รวมทั้งการผสมผสานระหว่าง CGI กับหุ่นกลไกไดโนเสาร์เสมือนจริง หรือแอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) ที่นำมาใช้มากที่สุดในไตรภาคแล้ว รวมทั้งการถ่ายทำในหลาย ๆ โลเคชัน หลากภูมิประเทศจากทุกมุมโลก
อีกจุดที่ถือว่าน่าสนใจก็คือ บทภาพยนตร์จากฝีมือของเทรวอร์โรว์และ ‘เอมิลี คาร์ไมเคิล’ (Emily Carmichael) ที่เคยร่วมปูทางด้วยการเขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง ‘Jurassic World: Battle at Big Rock’ (2019)* มาก่อนแล้ว ก็เลยทำให้มีวัตถุดิบที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ของหนัง ที่จั่วหัวตอนเปิดเรื่องไว้แบบเข้ม ๆ และน่าสนใจ ทั้งการที่ไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและมนุษย์ ที่ส่งผลต่อโลก ธรรมชาติ และวิถีชีวิตมนุษย์ในโลกยุคออนไลน์ราวกับโควิด-19 ก็มิปาน
รวมทั้งประเด็นการที่มนุษย์หาประโยชน์จากไดโนเสาร์ ที่คราวนี้ไม่ได้แค่เอาไปขายเป็นตัว ๆ แต่พยายามจะเอาเทคโนโลยีมาแอบอ้างหาประโยชน์ใหัตัวเอง และพยายามดัดแปลงไดโนเสาร์ให้มีคุณสมบัติอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบโดยรวม ทำให้บางครั้ง มนุษย์ที่มักมองตัวเองเป็นผู้ล่า แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์เองก็หลงลืมไปเหมือนกันว่า บางครั้งตัวมนุษย์เองนี่แหละก็ทำตัวเองให้กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกันนะ หนังใหม่
ความเอาอยู่ของผู้กำกับอีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ถือว่าสามารถคุมไดนามิกได้น่าสนใจครับ เป็นการอัปเกรดจากตัวหนังที่เคยเป็น Action Adventure ในเกาะปิดตาย แต่คราวนี้ตัวละครหลักจะได้ออกไป Adventure พบเจอกับงานด้าน Action ทั้งจากไดโนเสาร์และจากมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่องก็ซัดแอ็กชันสับตีนแตกให้ได้ลุ้นกันแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนช้า และสับเกียร์เร่งเครื่องผ่อนช้าผ่อนเร็วไปตลอดเรื่อง
แถมยังผสมความสยองขวัญจากไดโนเสาร์ ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะของแฟรนไชส์นี้เข้าไปด้วย แม้ตัวหนังจะพึ่งพาเทคนิค Jump Scare เยอะหน่อย แต่ก็ถือว่าวางจังหวะให้ได้สะดุ้งวาบได้รุนแรงกว่าภาคก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัดเลย แถมยังแอบใส่แฟนเซอร์วิสและมุกจาก Jurassic Park ภาคเก่า ๆ เอาไว้ให้สังเกต พร้อมกับงานด้านภาพที่ชวนว้าวในหลาย ๆ ช็อตทั้งหมดนี้ผู้กำกับสามารถคุมตัวหนังให้สนุก ตื่นเต้น เล่นใหญ่ ระทึกขวัญ และแก้ซ่อมจุดผิดพลาดจากสองภาคแรกได้ถือว่าค่อนข้างเอาอยู่เลยครับ
ส่วนในแง่ของนักแสดง ด้วยความที่ตัวนักแสดงมีค่อนข้างเยอะ ตัวเนื้อเรื่องก็เลยจะแบ่งเป็น 2 เส้นเรื่องโดยปริยาย ก่อนจะมาบรรจบกันในองก์สุดท้าย ด้วยวิธีนี้เองก็เลยทำให้ตัวละครจากฝั่งภาคเก่า และฝั่งภาคใหม่ดูมีภารกิจที่อิสระจากกัน ก่อนที่จะมาเจอกัน แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยตัวบทเองที่วางคาแรกเตอร์และปูมหลังของแต่ละตัวละครเอาไว้ชัดเจน ก็เลยไม่เกิดอาการแย่งซีนกัน ถือเป็นการแชร์สัดส่วนของบทบาทได้ออกมาลงตัวและน่าสนใจดีครับ นักแสดงจากภาคเก่าเองก็ยังคงคาแรกเตอร์จากหนังดั้งเดิมให้ได้เรียกยิ้ม ส่วนตัวละครใหม่เองก็มี Vibe ที่น่าสนใจกันทั้งนั้น
แต่เห็นเล่นใหญ่ใจโต และผู้กำกับมือถึงแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าไม่มีข้อสังเกต เพราะแม้ช่วงครึ่งแรกของหนังจะน่าสนใจในแง่ของแอ็กชันไดโนเสาร์ในบรรยากาศธรรมชาติแบบเปิด และกลางเรื่องเองก็สามารถผลักให้กลายเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าสุดมันสุดระทึกน้อง ๆ ‘Mission: Impossible’ หรือ ‘Fast & Furious’ เลยแหละ ดูหนังฟรี
แต่กลายเป็นว่า การดำเนินเรื่องในช่วงท้าย ๆ ที่เล่นเพลย์เซฟด้วยการพาคนดูกลับไปสู่วิธีการแบบภาคเก่า ๆ จนทำให้พล็อตหนังจากที่เดาบทสรุปยากในครึ่งแรก กลายเป็นเดาง่ายในครึ่งหลัง และพาให้ความรู้สึกในช่วงบทสรุปตอนท้ายของหนังออกจะจำเจ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้ชวนให้ประทับใจ สะเทือนใจอย่างที่หนังปิดไตรภาคควรจะเป็น รวมทั้งบางเส้นเรื่องที่สอดแทรกเข้ามา ที่แม้จะดูว้าว้าวดี แต่พอขบคิดไป ๆ มา ๆ แล้วก็แบบว่า อืม…เกี่ยวกันยังไงวะเนี่ย…
โดยสรุป ‘Jurassic World Dominion จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ จะยังมีทิศทางอาจจะดูยังเพลย์เซฟเหมือนหนังภาคอื่น ๆ ที่ชวนให้รู้สึกจำเจอยู่พอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับเขย่ารสชาติที่ทำออกมาได้สนุกลงตัว ด้วยงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่จัดเต็ม งานซีจีเนี้ยบ ๆ ไดโนเสาร์ที่มีทั้งความน่ารักและน่ากลัว งานแอ็กชันเวอร์วังติดโม้นิด ๆ ประเด็นชวนคิดเข้ม ๆ และงานแฟนเซอร์วิสที่ได้ผลสำหรับแฟน ๆ เป็นบางอัน
หากจะมองเป็นหนังปิดไตรภาค ก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่ค่อนข้างโอเคนั่นแหละครับ แม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นประทับใจ แต่ถ้ามองเป็นหนังบันเทิงครบรสสำหรับครอบครัว หนังของคนรักไดโนเสาร์ หรืออยากโดนพลังเสียงจากลำโพงหมื่นวัตต์ระบบ IMAX อัดกระแทกรูหู หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ไม่ว่าจะดูแบบไหนก็ไม่น่าจะเสียดายค่าตั๋วครับ ดูหนังออนไลน์
มาถึงการปิดฉากอย่างสมูบรณ์แบบของอีกหนึ่งแฟรนไชส์หนังเรื่องยิ่งใหญ่ในยุคนี้ นี่คือ “Jurassic World: Dominion” (จูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร) ที่กลับมาสานต่อเรื่องราวจากเหตุการณ์ภาคก่อนที่ยุ่งเหยิงไปอย่างไม่น่าเชื่อ โดยภาคนี้ยังได้ทีมผู้สร้างและทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมา พร้อมกับนักแสดงฉบับคลาสสิกยังมาร่วมสมทบอีกด้วย แล้วผลลัพธ์ของหนังปิดไตรภาคเรื่องนี้จะออกมาได้ดั่งใจหรือไม่นะ?
Jurassic World: Dominion เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 4 ปีหลังจากที่อิสลาร์ นูบลาร์ ถูกทำลาย ตอนนี้ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่และออกล่า ไปพร้อมกับมนุษย์ทั่วโลก ก่อกำเนิดเป็นโลกยุคใหม่ สร้างสมดุลอันเปราะบางนี้จะเปลี่ยนโฉมอนาคตและตัดสินว่า มนุษย์จะยังคงเป็นผู้ล่าที่อยู่ลำดับปลายสุดบนดวงดาว และยังคงอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์
นี่คือการปิดไตรภาค จูราสสิค เวิลด์ อย่างเป็นทางการ ที่ถือว่าเป็นเสมือนการเปิดงานเลี้ยงร่ำลาคืนสู่เหย้า เพราะคุณจะได้เห็นทีมนักแสดงทั้งศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่ากลับมารวมตัวกันในหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวแบบจุใจ และเป็นการปิดฉากที่เต็มไปด้วยความถวิลหาหนังแฟรนไชส์ ทั้ง 5 ภาคที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุค 90 เป็นต้นมา บรรยากาศกลับมาเป็นวังวนในเรื่องนี้เต็มไปหมด พร้อมกับการหยอดไดโนเสารพันธุ์ ๆ เข้ามาชวนตื่นตาตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ดูเหมือนว่า…ทั้งหมดก็มีอยู่แค่นั้น
ก็คงจะต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า Jurassic World: Dominion เป็นการปิดฉากไตรภาคที่ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย ทั้งที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่ปรากฏว่านี่เป็นบทสรุปไตรภาคของ จูราสสิก เวิลด์ ที่ช่างกระด้างกระเดื่อง วนซ้ำอยู่กับมุกเก่า ๆ ที่นำกลับมารียูสและหากินซ้ำ กับไอเดียในคอนเซ็ปต์ของหนังภาคนี้ที่น่าสนใจ แต่กลับนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างล้มเหลวและไปไม่ถึงดวงดาว
ไม่รู้ว่าผู้กำกับ “โคลิน เทรวอร์โรว์” ที่อยู่กับแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้มาตลอดช่วงเวลาที่ผ่าน เขาเกิดอาการหมดมุกหรือไม่ เพราะสิ่งที่ออกมาใน Jurassic World: Dominion กลายเป็นตอนจบที่ไม่ได้งดงามสักเท่าไหร่ เพราะเนื้อในของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างสะเปะสะปะและซ้ำซากจำเจอยู่ทุกหย่อมหญ้า สารภาพตรง ๆ ว่านี่เป็นหนังที่สร้างความบันเทิงและความเอ็นจอยให้คนดูได้อยู่แล้ว เพียงแต่มันกลายเป็นสิ่งเดิม ๆ ที่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีที่ทำให้คนดูรู้สึกประหลาดใจได้เลย
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า คอนเซ็ปต์ของหนังที่ปูเรื่องบนแนวคิดที่ว่า คนกับไดโนเสาร์จะอยู่ร่วมกันได้เช่นไร นับว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก แต่ปรากฏว่าหนังแตะต้องประเด็นนี้เพียงแค่ผิวเผิน แบบผิวเผินมาก ๆ จนน่าแปลกใจที่หนังตั้งใจแตะต้องเพียงแค่นี้จริง ๆ หรือ และกลับไปเน้นการเล่าเรื่องแบบซ้ำเดิม ที่เคยเห็นมาแล้วจากหนังทั้ง 5 ภาคที่ผ่านมา พร้อมกับโครงเรื่องกับไดอะล็อกที่พยายามยัดเยียดไปสักหน่อย แต่ยังดีที่โครงสร้างของหนังเรื่องนี้ยังพอถูไถให้ดูสนุกได้อยู่ในตัวเอง
ทัพนักแสดงรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามากับเพียบ แน่นอนว่าก็ต้องแบ่งแอร์ไทม์กันไปบนหนังที่มีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง “คริส แพรตต์” กับ “ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด” ก็ยังรับหน้าที่ในบทบาทของพวกเขาได้ดี เพียงแค่ว่าภาคนี้บอกได้เลยว่า ทำพวกเขา ‘หมอง’ ลงไปอย่างเห็นได้ชัด และน่าเสียดายที่คาแรกเตอร์ของพวกเขาแทบจะไม่ได้รับการขยี้และสานต่อจากที่ 2 ภาคก่อนปูเอาไว้เลย