เมื่อโลกเข้าสู่ห้วงสุดท้ายในยุคเรา ทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยการเดินทางสู่กาแล็กซีอันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ว่าในอนาคตมนุษยชาติอยู่ท่ามกลางดวงดาวได้หรือเปล่า INTERSTELLAR (2022) ทะยานดาวกู้โลก หนัง Netflix
ดูหนังฟรี ผลงานจากผู้สร้างฯ ชื่อดัง คริสโตเฟอร์ โนแลน (ภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight, Inception) Interstellar นำแสดงโดยแมทธิว แม็คคอนอเฮย์ เจ้าของรางวัล Oscar (Dallas Buyers Club), แอนน์ แฮทธาเวย์ (เจ้าของรางวัล Oscar Les Miserables), เจสสิก้า แชสเทน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (Zero Dark Thirty), บิล เออร์วิน (Rachel Getting Married), เอลเลน เบอร์สติน เจ้าของรางวัล Oscar (Alice Doesn’t Live Here Anymore) และไมเคิล เคน เจ้าของรางวัล Oscar (The Cider House Rules) นักแสดงคนสำคัญคนอื่นยังรวมถึงเวส เบนต์ลีย์, แคซีย์ เอฟเฟล็ค, เดวิด ไกอาซี่, แม็คเคนซี่ ฟอย และโทเฟอร์ เกรซ
ดูหนังออนไลน์ กำกับฯ โดย คริสโตเฟอร์ โนแลน เขียนบทฯ โดย โจนาธาน โนแลน และคริสโตเฟอร์ โนแลน ภาพยนตร์เรื่อง Interstellar อำนวยการสร้างฯ โดย เอ็มม่า โธมัส, คริสโตเฟอร์ โนแลน และ ลินดา ออบต์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย จอร์แดน โกลด์เบิร์ก, เจค ไมเยอร์ส, คิป ธอร์น และโธมัส ทุล ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
– โลกในยุคที่เริ่มแห้งแล้งขาดแคลนอาหาร พายุฝนเปลี่ยนเป็นพายุฝุ่น นาซ่าเลยต้องหาแหล่งที่อยู่แห่งใหม่ให้คน
– พระเอกบังเอิญเจอสัญญาณแรงโน้มถ่วงที่บ้าน พระเอกเลยเป็นผู้ถูกเลือกให้เป็นทีมนักสำรวจค้นหาดาวมิลเลอร์ อารมณ์เหมือนกระเป๋าหลุยส์งานมิลเลอร์ที่เค้าชอบฝากร้านในไอจีเซนเล็ปทั้งหลายทั่นแหล่ะ
– ทีนี้พระเอกและทีมจะไปเจอดาวมิลเลอร์ โลกใหม่หรือไม่? แล้วทำไมอยู่ดีๆ พระเอกถึงถูกเลือก? ต้องติดตามดูในโรงหนังฮะ
คราวนี้เป็นครั้งที่สองที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ และเราเชื่อว่าหลายคน(ที่ชอบ) น่าจะจัดเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้วเช่นกัน เป็นเรื่องที่เราคิดว่าควรดูในโรงนะ เพราะจากประสบการณ์ที่ดูทั้งในโรงและดูที่บ้านเฉยๆมาแล้วนั้นทำให้เข้าใจได้เลยว่าดูในโรงมันดีกว่าขนาดไหน เพราะงานภาพ และโดยเฉพาะงานเพลงที่มันกระหึ่มและดึงอารมณ์มาก ถ้ามีโอกาสหนังเรื่องนี้ได้กลับมาฉายอีกครั้งอะไรประมาณนี้เราอยากให้ทุกคนได้ไปดูกันนะ
เรื่องราวในวันที่โลกไม่เหลือทรัพยากรอีกต่อไปแล้ว ผลกระทบที่ทำให้ไม่มีอาหารเพียงพอ ปลูกพืชผลอะไรก็ไม่ขึ้น เหลือแต่เพียงข้าวโพดเท่านั้นที่จะเป็นอาหารที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของมนุษย์ ตัวเอกของเราเป็นนักบินเก่าผู้ซึ่งได้พบกับฐานลับนาซ่าโดยบังเอิญ พวกเขาต้องแอบคิดค้นประดิษฐ์ของเพราะเรื่องงบประมาณ ตัวเอกได้ไปพบและถูกเชิญชวนให้ไปสำรวจโลกใหม่กับพวกเขาในฐานะนักบิน โดยภารกิจนี้ดำเนินมานานกว่า 10 ปีแล้วและพวกกลุ่มของตัวเอกในครั้งนี้ต้องไปตามดาวที่กลุ่มก่อนหน้าส่งสัญญาณออกมาว่าพอเป็นไปได้ที่จะใช้เป็นโลกใหม่
หนังนานมาก ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที แต่พูดได้เลยว่าไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลยสักนิดเดียว หนังเดินไปอย่างรวดเร็ว เริ่มจากปูเรื่องราวโลกในปัจจุบันกับปัญหาที่เขาต้องพบทั้งเรื่องขาดแคลนอาหารและฝุ่นที่ฟุ้งทั่วไปหมด จนเดินเรื่องตอนพระเอกเจอกับนาซ่า และการเข้าร่วมภารกิจ และไปที่ดวงดาวต่างๆ คือเรื่องเดินไปเร็วมากและเดินหน้าไปเรื่อยๆไม่มีเวลาให้หยุดพักเลย และที่สำคัญคือใส่ประเด็นสำคัญมาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือมันเป็นจุดไคลแมกซ์จุดคลายประเด็นของเรื่องที่หนังใส่มาให้เราเห็นตั้งแต่แรกแล้วอยู่ที่ว่าเราจะเคลียร์มันได้ไหม เหมือนกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมาของผู้กำกับคนนี้ ที่สำคัญที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นประเด็นครอบครัวนี่แหละ ที่ยังคงความดราม่าและความสำคัญตลอดมาในหนังแทบทุกเรื่องของเขา
ถ้าพูดถึงประเด็นเรื่องความเป็นไปได้ในเรื่อง ในครั้งแรกที่ดูในโรงเรารู้สึกว่าว้าว สุดยอดไปเลย มันดูเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจมาก แบบดูจบก็ไปหาทฤษฎีมาอ่านเพิ่มทันทียิ่งสนุก มิติที่ 4 มิติที่ 5 งี้ แล้วพอปีหลังจากนั้นก็มี The Martian เข้าที่ทุกคนบอกว่าสมจริงแล้วก็มาเทียบกับ Interstellar ที่ฉายปีก่อนหน้าเขาบอกว่า Interstellar ไม่สมจริง ตอนนั้นเราแบบไม่สมจริงยังไงวะ แต่พอดูรอบสองก็เออ เหตุผลรองรับมันไม่ค่อยมีจริงๆนั่นแหละ แต่เราจะมองข้ามมันไปแล้วเอาแต่ความสนุกแล้วกัน (เพราะตอนนั่งดูอยู่ก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ5555) สำหรับเราพวกฉากอวกาศ พวกยานบิน หรืออะไรพวกนี้ดูสมจริงและสวยงามมาก โปรดักชั่นดีมากกกก นักแสดงครบรส คือดึงดูด และถึงโผล่มาเพียงสั้นๆแต่ดูกลมกลืนไปกับเรื่อง คือดูแล้วรู้ว่าคัดให้เขามาเป็นตัวละครได้ประมาณนี้
เราชอบเรื่องนี้มากนะ คือภาพดี เพลงดีมาก นักแสดงดี บทดี สนุก เนื้อเรื่องน่าติดตาม ถึงบทสรุปจะดูอาจจะไม่ค่อยเป็นไปได้ไปสักนิดแต่โดยรวมที่ผ่านมาทั้งเรื่องเราว่าทำได้ดีมาก ยิ่งบทสรุปความสัมพันธ์ตัวละครและบทสรุปเนื้อเรื่องก็ดีมากสำหรับเรา เป็นอีกเรื่องที่ควรดูนะ เป็นหนังอวกาศที่ดูสนุก แต่จะเน้นไปทางดราม่ามากกว่า คุณภาพมาก แค่เข้าได้ดูนักแสดงก็คุ้มแล้วยิ่งได้สัมผัสภาพและเพลงที่ตราตรึงเนี่ย สำหรับเราก็ดีมากแล้ว ถึงสุดท้ายจะยัดดราม่าความรักมามากจนเป๋ไปบ้างแต่ก็ยังอยู่ในบทสรุปที่เรายังโอเคและรับได้อยู่
สวัสดีค่าเพื่อนๆ วันนี้เราจะมารีวิวหนัง Sci-Fi กับเรื่องที่คุณเองก็ต้องคุ้นเคย Interstellar ซึ่งบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้มีให้คุณครบรส ทั้งความรัก ความเข้าใจ ดราม่า ซึ้ง เศร้า ตื่นเต้น จัดเต็มมาแบบล้นๆ กันไปเลย โดย Interstellar นั้นเป็นเรื่องราวของโลกที่กำลังเกิดวิกฤตขึ้น ความแห้งแล้งมาเยือน พืชผักต่างๆ ล้มตาย และมีฝุ่นทรายเต็มบ้านเมืองไปหมด จะเหลือก็เพียงแค่ข้าวโพดพอประทังชีวิตชาวโลกไปวันๆ
ภารกิจค้นหาดาวดวงใหม่มาแทนโลก
แน่นอนว่าในเมื่อสภาพโลกเรากำลังเข้าสู่จุดวิกฤตขั้นสูงสุด พืชผักอะไรก็ปลูกไม่ขึ้น และสภาพอากาศยังมาเป็นแบบนี้อีก ทำให้ข้าวโพด อาหารหลักอย่างสุดท้ายก็ค่อยๆ หมดลง NASA ค้นพบว่าพืชพันธุ์ของโลกเรากำลังจะหมดไป และสุดท้ายมนุษย์ก็จะสูญสิ้นตามไปด้วย โดยรุ่นลูก และรุ่นหลานของตัวเอกนี่แหละค่ะที่จะได้มองเห็นโลกใบนี้เป็นรุ่นสุดท้าย
เมื่อรู้แบบนั้นแล้วจึงได้มีการเริ่มต้นสำรวจดาวดวงใหม่เพื่อหาโอกาสความเป็นไปได้ที่จะย้ายชาวโลกไปอาศัยอยู่ที่นั่น เมื่อเนื้อหาเข้มข้นถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องมีฉากลุ้น ซึ้ง ดราม่า มาเรียกอารมณ์ความประทับใจ ซึ่งฉากซึ้งกินใจของเรื่องนี้ก็แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้เราได้อินตามกันจนน้ำตาท่วมทุ่งเอาได้ง่ายๆ เล่นกับความเป็น ความตาย ที่ลุ้นระทึกจากภัยธรรมชาติ ทั้งในโลกและนอกโลก รวมถึงความสิ้นหวังแบบสุดๆ ที่สามารถเกิดได้จริงในชีวิตเรานับจากนี้ไปอีก 20-30 ปีข้างหน้า
นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนัง Sci-Fi ที่ดูได้สบายๆ ไม่ต้องหลงใหลในแสง สี เสียง หรือบทบาทที่ลึกซึ้งอะไร ก็สามารถเข้าใจในตัวหนังได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความสมจริง และความ Real ของบท และอารมณ์ รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ ของตัวหนังล่ะก็ Interstellar สามารถตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า นี่ไม่ใช่รีวิวแรกของผมนะครับ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขียนลง PANTIPและโดยที่ส่วนตัวเป็น “ติ่งโนแลน” อยู่แล้ว จึงขอลดระดับตนเองมาเหลือ “แฟนหนังโนแลน” ก็พอ เพื่อความน่าเชื่อถือ ไม่อวยเกินไปโดยรีวิวนี้จะเขียนตามความรู้สึกในระหว่างที่ชมภาพยนตร์นะครับ ไม่ใช่เพราะชอบผู้กำกับแล้วจะอวยไปทุกด้าน โอเค เริ่มกัน[อาจมีการอธิบายบางส่วนของหนัง แต่ไม่สปอยฉากสำคัญแน่นอน]
INTERSTELLAR เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบเดิมที่เราอยู่ทุกวันนี้ เริ่มเกิดวิกฤตแห้งแล้ง พืชล้มตาย ฝุ่นเต็มบ้านเมือง เหลือเพียงข้าวโพดที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังนำเสนอส่วนนี้ในช่วงต้นเรื่องได้ดีในระดับหนึ่ง มีการเก็บรายละเอียดในเรื่องของความเป็นอยู่ของผู้คนว่าชีวิตพวกเขาแตกต่างจากโลกปกติตอนนี้อย่างไร ง่ายๆมันก็คือใกล้วันสิ้นโลกนั้นแหละ แต่ตัวหนังนำเสนอออกมาให้ดูมีสมจริงและความเป็นไปได้ ไม่ใช่จู่ๆโลกระเบิดอะไรทำนองนั้น และแม้แต่นักบินอวกาศอย่างพระเอกก็ยังต้องมาทำไร่ ทำสวน เพื่อความอยู่รอด แต่แล้ววันหนึ่ง NASA ก็ค้นพบว่าพืชเผ่าพันธุ์สุดท้ายอย่าง ข้าวโพด ใกล้จะดับสูญไปในอีกไม่ช้า และรุ่นลูก รุ่นหลานของพระเอกก็จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่บนโลก ภารกิจค้นหาดาวดวงใหม่จึงเริ่มขึ้น!
ในเรื่องตัวบทถือว่าทำมาได้ดีในเรื่องการสนทนาของตัวละคร ที่ไม่ปรัชญาจ๋าจนเกินไป แต่วิทยาศาสตร์ฮาร์ดคอล้วนๆ (แต่ไม่ต้องกลัวตัวหนังมันจะโชว์ออกมาให้เข้าใจที่สุดเอง) ส่วนในเรื่องของตัวละครบางทีก็อาจแปลกๆไปบ้าง บางคนจู่ๆก็โผล่มาไม่มีที่มาที่ไป บางฉากก็โม้ไม่ค่อยเมคเซ้นส์ แต่ดูสนุก ลุ้นระทึกดีมาก ต้องบอกเลยว่ามีฉากเรียกน้ำตาคนดูไม่ต่ำกว่า 3-4 ฉาก !!! และผมไม่เคยดูหนังแล้วน้ำตาไหลในโรงมาหลายเดือนแล้ว เรื่องนี้เล่นเอาอยู่หมัดมาก ลองคิดดูว่าพ่อคนหนึ่งที่ต้องจากลูกไปอวกาศอันแสนไกลโพ้นโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอหน้าลูกเมื่อไหร่ จนลูกโตขึ้นอายุเท่าพ่อก็ยังไม่กลับมา ลูกอีกคนก็เชื่อว่าพ่อตายแล้ว ทั้งๆที่พ่อคนนั้นกำลังนั่งเปิดดูข้อความของลูกๆอยู่บนยาน และยังไม่จากไปไหน ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้พบหน้าลูกอีกครั้งหลังจบภารกิจ..
ในเรื่องของการนำเสนอ ช่วงแรกจะดูปูเรื่องเยอะไปหน่อย อาจมีง่วงกันบ้าง แต่ก็ไม่น่าเบื่อขนาดนั้น พอมากลางเรื่องก็เริ่มจะมีอะไรให้กระแทกอารมณ์คนดูกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะฉากตอนบอกลาลูกเนี่ย นักแสดงเล่นจนทำให้ผมน้ำตาแทบคลอ ไปจนถึงฉากเปิดดูข้อความตอนลูกโตขึ้น และเหตุการณ์ช็อคโลกอีกมากมายในด่านข้างหน้า ที่เรียกว่าอลังการล้นจอ จนถึงช่วงสุดท้ายของหนังที่พีคโคตรๆ ชนิดติดตายากจะลืมเลือน ไหนจะมีเซอร์ไพรส์นักแสดงที่มีผลต่อเนื้อเรื่องพอสมควร กับฉากที่คุณจะต้องร้อง WTF!? และสะดุ้งจนแทบถีบเบาะนั่งข้างหน้าเลยแหละ
การเนรมิตรรูปแบบยานก็ถือว่าทำออกมาได้น่าจดจำดี แม้มันจะมีรูปทรงคล้ายกระสุนปืนแก๊ป(?)ก็ตาม… ส่วนเรื่องการเนรมิตรอวกาศ จะไม่สวยงามสดใสแบบ Gravity แต่จะเน้นให้เหมืนอกับอวกาศจริง ที่มันดูเงียบๆ โล่งๆ นั่นแหละ แต่ได้ออกมาแบบนี้ถือว่าดีมากๆ สำหรับระบบฟิล์ม ยกนิ้วโป้งให้เลย
ต้องขอบอกว่าลายเซ็นต์การกำกับของโนแลนแกไม่ใช่นิ่งๆแล้ว มาตรฐานของแกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แตกต่างกันออกไปทุกแนว โดย Interstellar นี้ ถือว่าเป็น 1 ในหนังของโนแลน ดูง่ายที่สุด(?) เพราะถ้าหากเราเข้าใจเรื่องที่ตัวละครสื่อสารกันในหนังดีๆ ก็ไม่มีอะไรค้างคาในหัวกลับบ้านไปแบบ Inception แน่นอน นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นคอไซไฟที่ตั้งคำถามต่างๆนาๆถึงสิ่งต่างๆในจักรวาลหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมก็คิดเช่นนั้นครับ ยังมีคำถามอีกมากมายในจักรวาลของ Interstellar เพราะหนังมันพาเรา ไปไกล กว่าที่มันเป็นมาก เรียกว่าเปิด/ขยายจักรวาลใหม่ของโลกภาพยนตร์เลยก็ว่าได้
คุณจะได้เห็นหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นจากหนังเรื่องไหนๆ จนบางทีก็แทบไม่คิดว่าโนแลนจะทำแบบนี้ได้ด้วย หนังพาเราไปเห็นส่วนใหม่ๆของจักรวาลที่ไม่เคยมีใครนำเสนอมาก่อน เช่น ดาวที่มีแต่ทะเลตื้น แต่ดันมีคลื่นยักษ์มหาศาล หรือดาวน้ำแข็งที่มีเมฆเป็นก้อนน้ำแข็ง(ที่เห็นในตัวอย่างเหมือนภูเขาล่างกับบนนั่นแหละ) ซึ่งจะไม่แปลกเลยถ้าหากหนังเรื่องนี้ติดโผสุดยอดหนังไซไฟขึ้นหิ้งในอนาคต เพราะมันมีผลต่อจักรวาลหนังไซไฟมากในระดับหนึ่ง
และอีกอย่างเกือบลืม!! เพลงประกอบที่สุดติ่งกระดิ่งแมวของ Hans Zimmer เจ้าเก่า ที่ทำออกมาได้โคตรอินมากๆ ฉากที่จะอึ้งก็อึ้ง จะนิ่งก็นิ่ง จะหลอนก็หลอน สุดยอดสุดๆ โดยเฉพาะซาวประจำของเรื่องนี่แว่วๆอยู่ในหูจนยากที่จะลืมแน่นอน