เรื่องราวของ เอเวอลีน (รับบทโดย มิเชล โหย่ว) หญิงสาววัย 50 ที่เปิดร้านซักผ้าหยอดเหรียญกับสามีที่ชื่อ เวย์มอนด์ (รับบทโดย โจนาธาน คี ควาน) และมีลูกสาวหนึ่งคนที่ชื่อ Everything Everywhere All At Once (2022) ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส จอย (รับบทโดย สเตฟานี ซู) ซึ่งลูกของเธอเป็นเลสเบี้ยนและมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่เอเวอลีนเป็นคนหัวโบราณ เลี้ยงลูกแบบชาวเอเชีย ชอบห้ามนู่นห้ามนี่ แต่ลูกก็ไม่เคยฟังเธอเลย ทำให้ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกค่อนข้างระหองระแหง แต่มันยังไม่หมด เพราะความสัมพันธ์ของเอเวอลีนกับพ่อก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะตอนเธอวัยรุ่นพ่อเธอก็ชอบบังคับเหมือนกัน พอหันมามองสามีตัวเอง ก็ไม่ต่าง เพราะเอเวอลีนจะชอบคิดว่าถ้าหากเธอไม่เลือกหนีออกจากบ้านและมาเปิดร้านซักผ้ากับเขา ชีวิตเธออาจจะดีกว่านี้
แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น เมื่ออยู่ๆวันหนึ่ง เธอได้โดนสรรพากรเรียกตรวจสอบ และถ้าหากโชคไม่ดี ร้านเธออาจจะต้องถูกปิด เรียกได้ว่าชีวิตเจอแต่มรสุมจริงๆ และเมื่อเธอเดินทางไปถึงกรมสรรพากร ระหว่างขึ้นลิฟต์จู่ๆสามีของเธอก็พูดเจอแปลกๆ โดยบอกเขาไม่ใช่สามีเธอ แต่เขาเดินทางมาจากอีกจักรวาล และตอนนี้มีวายร้ายที่หวังจะทำลายทุกจักรวาลอยู่ และเอเวอลีน ก็เป็นเพียงตัวตนเดียวจากทุกจักรวาล ที่จะสามารถหยุดเหตุการณ์นี้ได้ จากนั้นทำให้เอเวอลีนได้รู้ว่า มัลติเวิร์สมีอยู่จริง และมีตัวเธอในจักรวาลอื่นๆ ที่มีความสามารถและอาชีพไม่เหมือนกัน สุดท้ายแล้วเรื่องราวครั้งนี้จะจบลงอย่างไร เอเวอลีนจะสามารถกอบกู้ทุกจักรวาลได้หรือไม่ ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง Everything Everywhere All at Once ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
บอกก่อนเลยเรื่องทำผมว้าวมากๆ ในด้านไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ คือมันล้ำลึกจริงๆ ส่วนตัวก็ชอบพอตัว แต่ไม่ได้ถึงกับชอบมาก เพราะว่ามีบางจุดที่ไปไม่สุดเหมือนกัน สำหรับผมนะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน มาเริ่มกันเลยดีกว่า ขอเริ่มที่ด้านบทก่อนแล้วกัน บททำได้ดีมากๆ แต่ไม่ได้ดีที่สุด ดูหนัง
ซึ่งส่วนที่ดีมากๆของบทคือเรื่องรายละเอียด มันดูเป็นงานละเอียดมากๆ ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยาก และทุกอย่างค่อนข้างมีที่มาที่ไป และมีน้ำหนักพอสมควรเลย ผมชอบการเลียงลำดับเรื่องราวมากๆ ทำมาดีสุดๆ ซึ่งผมมั่นใจว่าต้องมีบางคนให้ 10 เต็ม 10 เลย แต่สำหรับผม ในช่วงตอนท้ายเรื่อง ผมไม่ได้รู้สึกอินกับความสัมพันธ์ขนาดนั้น ด้วยความที่หนังไม่ได้บิ้วอารมณ์ไปด้านนั้นด้วย
มันไม่ได้มีเวลาเล่าเรื่องความสัมพันธ์ให้ดูลึกซึ้งกว่านี้ ผมเลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ ที่เป็นอยู่คือดีมากๆแล้ว เพราะผมไม่ได้คาดหวังจะดูเรื่องราวดราม่าอยู่แล้ว แต่หนังก็กลับใส่มาได้อย่างลงตัว ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป มันกลมกล่อมครบรส ต่อมาเรื่องการดำเนินเรื่อง ในส่วนนี้ก็ดีมากๆเช่นกัน เรียงลำดับเรื่องราวได้ดีมากๆ แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน (จะอธิบายอีกทีข้างล่าง) เข้าใจง่าย มีการแทรกมุขตลกอยู่ตลอด ทำให้ไม่เบื่อ ดีมากๆ แม้ว่าจะดำเนินเรื่องเร็วไปหน่อย หนังฟรี
แต่ก็ยังทันอยู่ แต่บอกก่อนเลยว่าถ้าบางคนตามไม่ทันและงงจะไม่สนุกเลย ดังนั้นจึงมีหลายคนที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่สนุก เพราะถ้าทันและเข้าใจก็จะชอบไปเลย แต่ถ้างงก็จะไม่ชอบไปเลยจริงๆ ซึ่งสำหรับผมการดำเนินเรื่องแบบนี้ดีมากๆแล้ว ไร้ที่ติเลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องราวมันเยอะ การเดินเรื่องไวๆและเก็บรายละเอียดต่างๆ มันทำให้เราได้รู้เลยว่าคนทำหนังเขาตั้งใจกับผลงานชิ้นนี้จริงๆ มันเจ๋งมากๆ
อีกส่วนที่ผมชอบมากๆ คือการแบ่งเรื่องราวเป็น 3 ส่วน ซึ่งถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ของค่าย A24 มาก่อนก็จะพอเข้าใจได้ ซึ่งผมชอบการเอาชื่อหนังมาแยกเป็นแต่ละช่วง อย่างส่วนแรกคือ “Everything”หรือแปลว่า “ทุกอย่าง” ซึ่งมันมีความหมาย แต่ผมไม่แน่ใจนะว่าผมเข้าใจถูกไหม ผมคิดว่าน่าจะคือการบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เราได้รู้ ทั้งที่มาที่ไปของตัวละครหลักและเรื่องพื้นฐานของมัลติเวิร์ส หรือก็คือการปูเรื่องราวนั่นเอง ต่อด้วยส่วนที่ 2 คือ
“Everywhere”หรือแปลว่า “ทุกที่” ส่วนนี้คือหลังจากที่นางเอกรู้แล้วว่ามีจักรวาลคู่ขนาน ช่วงนี้ก็จะเล่าถึงจักรวาลต่างๆ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร พาเราไปรู้จักกับจักรวาลอื่นๆมากมายนั่นแหละคือความหมายของคำว่า Everywhere และส่วนสุดท้ายคือ “All at Once” หรือแปลว่า หนังใหม่
“ทุกอย่างพร้อมกัน” ซึ่งเอาจริงๆคำนี้มันก็มีหลายความหมาย และตีไปได้หลายทาง ซึ่งน่าจะรวมๆกันหมด ทั้งการสรุปเรื่องราวทุกอย่างให้กับทุกจักรวาล หรือการที่นางเอกรวมทุกทักษะจากจักรวาลอื่นๆ มาใช้ในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังใช้กับฉากที่ทั้งครอบครัวช่วยกันดึงลูกสาวกลับมา ฉากนั้นก็คือทุกคนร่วมเป็นหนึ่ง ส่วนตัวผมว่าผู้สร้างเขาน่าจะตีความรวมๆไปนั่นแหละ หรือง่ายๆก็คือ บทสรุปของทุกอย่าง ซึ่งมันลงล็อคจริงๆ ผมชอบส่วนนี้มาก
ต่อมาด้านการแสดง ในส่วนนี้ก็ดีมากๆเช่นกัน ทุกคนแสดงได้ดี ตัวหลักอย่างเจ๊มิเชล โหย่ว กับพระเอกโจนาธาน คี ควาน เล่นดีมากๆ เพราะเรื่องนี้มีหลายจักรวาล นักแสดงทุกคนจึงจะต้องเล่นหลายบทบาท แต่ทุกคนกลับทำได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ ส่วนตัวด้านการแสดงผมไม่มีอะไรจะติมากมาย ดีมากๆแล้ว ไปพูดถึงเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของเรื่องนี้ดีกว่า เพราะผมชอบมากๆในส่วนนี้ มีการล้อเลียนภาพยนตร์หลายเรื่อง และไม่ได้ทำแบบขอไปที คือทำจนเหมือนเลยจริงๆ ทั้งบทพูด งานภาพ การแต่งกาย ต้องลองไปดูเองแล้วจะรู้ และที่ชอบคือการออกแบบตัวละครในแต่ละจักรวาลเนี่ยแหละ เฟี๊ยวมาก
และบทของตัวละครในแต่ละจักรวาล ทุกตัวมีมิติและมีปัญหาที่ต้องเผชิญ ไม่ได้สร้างมาแบบลวกๆ และอีกอย่างที่ชอบคือการเอาทักษะของจักรวาลอื่นมาใช้แบบโคตรสร้างสรรค์ เปลี่ยนเรื่องทั่วไปให้กลายมาเป็นทักษะในการต่อสู้ ทั้งการเอาทักษะหมุนป้ายร้านพิซซ่ามาใช้ควงโล่ และการเอาทักษะการใช้เท้าจากจักรวาลที่ใช้มือไม่ได้มาใช้ในการต่อสู้ช่วงท้าย คือมันเทพมาก ปูมาเหมือนทำเอาฮานะจักรวาลมือไส้กรอกอะ แต่สุดท้ายได้นำมาใช้ประโยชน์ได้ มันเลยเจ๋ง เอาเป็นว่ามันคือผลงานที่น่าจดจำและผมจะดูซ้ำแน่ๆ
กระทั่งวันหนึ่งเอเวอลีนได้ค้นพบตัวตนที่อยู่ในหลากหลายชีวิต ณ พหุจักรวาล โดยแต่ละตัวตนต่างมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกัน มีเส้นทางชีวิตที่เป็นทั้งคนดีและคนชั่ว และยังมีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อการมาอยู่ในโลกประหลาดนี้ได้ปรากฏศัตรูลึกลับที่หมายจะกำจัดตัวเธอในจักรภพอื่น ๆ ให้สิ้นซาก จนในที่สุด เอเวอลีนต้องยอมเผชิญหน้ากับสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายแท้จริง นั่นก็คือ การเป็นที่สุดแห่งซือเจ๊มหาประลัยที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
แม้ Everything Everywhere All at Once หรือ ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส จะมีฉากโหดที่เหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญ และเรารู้สึกกดดันน่ากลัว คาดเดาการกระทำของตัวร้ายไม่ได้อยู่หลายฉาก ทั้งจับคนหักคอ หรือวิธีฆ่าสุดพิศดาร แต่ความโหดแท้จริงของหนังเรื่องนี้คือวิธีการสร้าง
ผู้กำกับแดเนียลส์ (Daniels) ซึ่งเป็นนามแฝงร่วมของผู้กำกับ แดเนียล กวัน (Daniel Kwan) และ แดเนียล ไซ เนิร์ท (Daniel Scheinert) เพิ่งมีผลงานสุดแปลกประหลาดร่วมกันจากเรื่อง ‘Swiss Army Man’ (2016) ที่แสดงนำโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (Daniel Radcliffe) และ พอล ดาโน (Paul Dano) ที่ว่าด้วยการผจญภัยร่วมกันของคนกับศพ ซึ่งคงไปเตะตาสองผู้อำนวยการสร้างคนดังอย่างพี่น้องรุสโซ (Russo Brothers) ที่หลังเสร็จภารกิจ Avengers: Endgame (2019) ก็หันมาเป็นป๋าดันให้หนังหลายต่อหลายเรื่องเช่น ‘Extraction’ (2020) ของผู้กำกับ แซม ฮาเกรฟ (Sam Hargrave) เป็นต้น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือมีความจงใจเล็ก ๆ ที่ ‘Everything Everywhere All at Once’ ก็มีพล็อตที่เล่นกับมัลติเวิร์สเช่นเดียวกับหนังมาร์เวลเฟสล่าสุด โดยเฉพาะปีการฉายที่มาใกล้กันทั้ง ‘Spider-Man: No Way Home’ และ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’
ที่ก็เล่นกับเรื่องมัลติเวิร์ส ยังไม่นับว่าสาระของหนังยังพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวเอเชียที่ไปใกล้เคียง ‘Shang-Chi and The Legend of The Ten Rings’ เข้าไปอีก ซึ่งโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อควาฟิน่า (Awkwafina) ที่เดิมทีถูกทาบทามให้เล่นเป็นลูกสาวของมิเชล โหย่วไม่ได้มาเล่นด้วย
มัลติเวิร์สในเรื่องนี้เป็นการกระโดดไปมิติอื่นเพื่อดึงความทรงจำหรือทักษะของอีกตัวตนมาใช้ มีส่วนผสมคล้ายการโหลดเข้าไปในโลก The Matrix
และอาจรวมถึงวิธีการแสดงเปลี่ยนบุคลิกของ คี ฮุย ควน นักแสดงที่เคยรับบทดังในตอนเด็กในหนัง ‘Indiana Jones and the Temple of Doom’ (1984) ที่เรื่องนี้มารับบทสามีจอมเปิ่นของมิเชล ซึ่งจะถูกตัวตนในอีกมิติที่เก่งกาจคอยมาสิงร่าง ที่ชวนนึกถึงการแสดงขั้นเทพแบบไม่น้อยหน้ากันของ ออสการ์ ไอแซ็ก (Oscar Isaac) ในซีรีส์ ‘Moon Knight’ ไปอีก จนเริ่มสงสัยว่าทีมสร้างแอบไปดูว่ามาร์เวลจะปล่อยอะไรฉายปีนี้มาก่อนแล้วหรือเปล่า (ฮา)
หน้าตาท่าทางคล้ายเฉินหลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเดิมทีผู้สร้างเขียนบทตัวนำโดยมีภาพแบบเฉินหลงในหัว ก่อนจะเปลี่ยนใจเอาตัวเอกเป็นผู้หญิงแทน
และถ้าคำนึงว่าผู้สร้างยังจงใจเลือก แรนดี้ นิวแมน (Randy Newman) ที่เคยทำเพลงให้กับหนังดังของพิกซาร์มาหลายเรื่อง มาพากย์เสียงตัวละครลับเพื่อล้อเลียนหนังพิกซาร์เรื่องหนึ่งด้วย ก็อาจเรียกได้ว่านี่อาจเป็นพาโรดี้หนังฮิตของดิสนีย์แบบขนานใหญ่ทีเดียว ยิ่งถ้าคุณดูหมอแปลกมาก่อนด้วย ก็จะยิ่งรู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เหมือนบังเอิญจะแซวหนังมาร์เวลอยู่ในที
นอกจากทีมสร้างและนักแสดงที่โหดเหมือนโกรธดิสนีย์พอควรแล้ว (แต่จริงๆ แค่ระดับแซวล่ะ) การทำหนังเรื่องนี้ก็ยังโหดขิงขึ้นไปอีก เมื่อผู้กำกับแดเนียลส์โชว์ความคิดสร้างสรรค์ถ่ายหนังไซไฟแอ็กชันโดยเน้นจบหน้ากล้อง (ถ้าทำได้) เช่นฉากที่มิเชลพุุ่งทะลุมิติที่ใช้วิธีลดเฟรมเรตของกล้องแล้วให้มิเชลแสดงท่าทางช้าลง จากนั้นค่อยเอามาเล่นด้วยความเร็วปกติจนเกิดภาพแบบพิเศษ การถ่ายหนังแบบไฮสปีดเพื่อเพิ่มทางเลือกให้คนตัดต่อได้ใช้ภาพสโลว์โมชันในฉากที่ต้องการ
หรือถึงแม้จะต้องใช้ซีจีเข้าช่วยแต่ทีมแดเนียลส์ก็โชว์เหนือด้วยการใช้ทีมเทคนิคพิเศษแค่ 9 คนรวมตัวผู้กำกับ 2 คนเข้าไปด้วยเพื่อทำซีจีหนังทั้งเรื่อง และที่ขิงสตูดิโอใหญ่เบา ๆ คือทีมงานเทคนิคพิเศษทุกคนลองฝึกทำกันเองผ่านยูทูบและไม่มีใครเคยเรียนด้านนี้มาก่อนเลย ดูหนังฟรี
และถ้าเอาให้สุดคือหนังเรื่องนี้ไม่ได้เบาสมองอย่างที่คิด แต่ซ่อนสัญญะไว้เยอะมาก เช่นวงกลมดำสลับขาวที่วางเอาไว้แทบทั้งเรื่องอย่างลูกตากลิ้งได้ใช้ติดของเล่น คำพูดตัวละครที่เป็นอีสเตอร์เอ้กจากหนังดังหลายเรื่องทั้ง ‘Indiana Jones’ ‘Die Hard’ หรือแม้แต่ ‘In The Mood For Love’ รวมถึงบทเพลงอย่าง “Absolutely (Story of a Girl)” ของศิลปินวง Nine Days ที่แทบเป็นธีมของเรื่อง ตลอดถึงการอุปมาอุปมัยเรื่องของนิพพาน ปรมาตมัน สุดแต่ใครจะตีความได้ไประดับไหน แต่บอกเลยว่าดูเอาสนุกก็ได้ เอาสาระวิเคราะห์เข้ม ๆ ก็มัน
ความมันของหนังเรื่องนี้มาพร้อมกับความฮา เพราะความมันในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่การมีฉากต่อสู้เร้าใจ แต่เป็นความมันในอารมณ์เสียมากกว่า หนังสามารถดึงความร่วมสมัยจากหนังดังหลาย ๆ
เรื่องเอามาผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างสนุกมือ การแบ่งส่วนของหนังเป็น 3 ตอน เรียงตั้งแต่ Everything, Everywhere และจบด้วย All at Once มันไม่ได้เพียงล้อกับชื่อเรื่อง แต่ยังบอกด้วยว่านี่คือการรวมหนังแทบทุกแบบมายำได้ว้าวซ่ามาก ๆ ดูหนังออนไลน์
เรียกว่าทุกอารมณ์ ทุกการนำเสนอมีครบ จบในเรื่องเดียว จะแมส จะอินดี้ จะไซไฟ แอ็กชัน ดราม่า คอมเมดี้ ปรัชญา ก้าวพ้นวัย ฯลฯ พี่แกมีหมด
คุณนึกภาพไม่ออกแน่ว่าหนังอย่างพิกซาร์ หนังเฉินหลง หนังหว่องกาไว เฉินข่ายเกอ ชอว์บราเธอร์ หนังของสแตนลีย์ คูบริก หรือพี่น้องวาชอว์สกีส์ และอีกหลายแขนงมันถูกคารวะเชิดชู ล้อเลียน อยู่ในเรื่องนี้เรื่องเดียวได้โคตรสนุกขนาดไหนด้วยพลังของมัลติเวิร์สที่เบิกทางให้ผู้สร้างทำอะไรได้หลากหลาย
ที่ต้องปรบมือปนประหลาดใจคือ ไม่คิดว่าจะโดนหนังเรื่องนี้พรากน้ำตาออกมาจากเบ้าได้ และไม่ใช่จากความตลกหรือความฟินจากการนำเสนอความสร้างสรรค์ในงานสร้างด้วย แต่เป็นส่วนของดราม่าที่เหมือนจะธรรมดา เนื้อหาไม่ได้แปลกใหม่ไปกว่าที่เคยดูในหนังวิพากษ์ครอบครัวเอเชียเรื่องอื่น ๆ เลยอย่างเช่น ‘Crazy Rich Asians’ (2018) แต่การที่หนังเรื่องนี้ให้พื้นที่ความเป็นผู้หญิงที่ถูกกดดันจากทุกสถานะในครอบครัวทั้ง ความเป็นลูกสาว ความเป็นภรรยา และความเป็นแม่คน
มันทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งในละครไทยอย่าง ‘เมีย 2018’ ที่ว่า “หลังจากที่แต่งงาน โลกของฉันก็เปลี่ยนไปหมดเลย เปลี่ยนไปตามโลกของสามี มันกลายเป็นโลกของเขา พอมีลูก โลกของฉันก็กลายเป็นโลกของลูก นอกจากการเป็นเมียและแม่ ไม่มีตรงไหนเลยที่ฉันจะมีที่เป็นของตัวเอง” แต่ในเรื่องนี้ยังขับเน้นไปต่อว่าผลกระทบนั้นมันก็ส่งกลับไปยังคนรอบตัวอย่างสามี หรือลูกเองจนกลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ด้วย
หนังเรื่องนี้แม้จะมีการนำเสนอที่บางทีก็ออกปรัชญาจนเข้าใจยาก แต่มันก็มีหลายฉากที่ช่วยให้เราเข้าใจหัวอกตัวละครได้มาก อย่างฉากที่ได้เห็นการตอบสนองต่อทางเลือกในอีกโลกหากตัวเอกไม่ได้แต่งงาน มันค่อย ๆ เก็บรายละเอียดทางอารมณ์ความคิดมาจนระเบิดออกในฉากสุดท้ายที่มันต้องเคลียร์ใจ ซึ่งต้องชื่นชมการแสดงระดับครูของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง มิเชล โหย่วด้วย เพราะมันก็สร้างความตราตรึงใจได้อย่างชื่นมื่นน้ำตาซึมในความรักของคนเป็นแม่ และความรักของคนในครอบครัว ที่ไม่ว่าจะจักรวาลไหนมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง