บั๊ด คุณพ่อชนชั้นแรงงานที่ทำงานหนักเพื่อหวังให้ลูกสาวมากไหวพริบของเขามีชีวิตที่ดี แต่งานทำความสะอาดสระว่ายน้ำในซานเฟอร์นานโดแวลลีย์ที่แสนจำเจกลับเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า ดูหนังออนไลน์ เพราะแหล่งรายได้ที่แท้จริงของเขามาจากการล่าและฆ่าแวมไพร์ให้กับสหภาพนักล่าแวมไพร์นานาชาติ Day Shift (2022) ล่าแวมไพร์กายกรรม หนัง Netflix
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 แรกสัมผัสต้องบอกว่าหน้าหนังของ ‘Day Shift’ ชวนให้นึกถึงหนังแนวคู่หูที่มีฉากหลังเป็นโลกแนวแฟนซีอย่าง ‘Men in Black’ (1997) ‘R.I.P.D.’ (2013) หรือหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง ‘Bright’ (2017) ที่เหมือนว่าจะต้องมีตัวเก๋ามาดดุเข้มประกบกับเด็กใหม่ที่ยังละอ่อนฝีมือแต่สร้างบรรยากาศเฮฮาได้ดี ซึ่งหนังในหมวดนี้ไม่ว่าจะทำดีหรือห่วยมันก็ต้องจัดวางไว้ในชั้นนั่งเหยียดขาเอนหลังนั่งดูในเวลาว่างแบบขอไม่ต้องคิดอะไรให้มากอยู่แล้ว และถ้าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์แบบที่ว่าหนังมันจะดูลงตัวในแนวทางของมันพอดี ดูหนังฟรี
อาจด้วยเพราะนี่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของอดีตนักแสดงเสี่ยงตายอย่าง เจ.เจ. เพอร์รี (J.J. Perry) ซึ่งเคยผ่านงานหนังใหญ่มานับไม่ถ้วน แค่คัดเอาชื่อเด่นเช่น แฟรนไชส์ ‘John Wick’ และ ‘Fast & Furious’ ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยแล้ว แน่นอนว่าในกรณีเช่นนี้หลายครั้งเราจะเห็นว่าทีมสร้างจะไม่ได้ฝืนเล่าท่ายากอะไรมากและเปิดช่องให้เอาความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบฉากต่อสู้มาเป็นจุดแข็งมากกว่า
และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าพล็อตหนังเรื่องนี้เล่นตามสูตรสำเร็จแบบไม่ขืนอะไรมากเลย โดยเอาไอเดียของมือเขียนบทหน้าใหม่อย่าง ไทเลอร์ ไทซ์ (Tyler Tice) มาให้ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ที่มีผลงานหนังแอ็กชันทรงใกล้กันอย่าง ‘Army of the Dead’ (2021) และ ‘Army of Thieves’ (2021) มาช่วยเสริมลูกเล่นแบบไม่ต้องมากแค่พอดูเพลิน
ได้เป็นเรื่องราวของ บั๊ด คุณพ่อถังแตกที่แสดงโดยนักแสดงยอดฝีมือ เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) ต้องดิ้นรนหาเงินก้อนใหญ่มาจ่ายค่าเทอมให้ลูกสาว ก่อนที่อดีตภรรยาจะขายบ้านเอามาจ่ายแล้วพาลูกย้ายเมืองไปอยู่กับแม่ยายซึ่งจะทำให้เขาไม่พบหน้าลูกอีก แต่แย่หน่อยตรงอาชีพเดียวที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้บั๊ดได้คือนักล่าแวมไพร์ที่เขาปกปิดทุกคนเอาไว้ และจะกลับไปรับงานเงินดีเลยก็ไม่ได้อีกเพราะนิสัยเหมือนตำรวจห่ามไม่ตามกฎของเขา ทำให้ถูกเฉดหัวจากสหภาพหรือสมาพันธ์นักล่าเมื่อนานมาแล้ว
จังหวะนี้จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจาก บิ๊กจอห์น นักล่าคนดังของสหภาพที่แสดงโดยตำนานนักปุ๊น สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg) ให้เข้าไปไกล่เกลี่ยอ้อนวอนหัวหน้าสหภาพให้เขากลับเข้าทำงาน แต่เงื่อนไขที่บั๊ดต้องทำให้ได้คือเขาต้องทำงานคู่กับ เซธ นักล่าป้ายแดงที่เป็นแค่เสมียนของสหภาพ รับบทโดยหนุ่มหน้าหล่ออย่าง เดฟ ฟรังโก (Dave Franco) ที่ต้องมาแหกปากโวยวายและถ่วงแข้งถ่วงขาตามสูตรมือละอ่อน
ว่ากันตามตรงเรื่องราวส่วนใหญ่เดาได้ไม่ยาก และเป็นอะไรที่สบายหัวดูเพลินได้ไปจนจบด้วยสูตรหนังที่คุ้นเคย ชวนให้นึกถึงความเรียบง่ายของหนังแอ็กชันแบบยุคเก่า ๆ ที่ซับซ้อนน้อยแต่เล่าให้สนุกก็พอ
และจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ถือว่าสนุกดูเพลินดีคือ ฉากการต่อสู้กับพวกแวมไพร์ที่สะใจดีเหลือเกิน ตัวเอกอาจมีแค่มีดใหญ่กับปืนลูกซองแต่ก็ใช้พลิกแพลงให้มีท่าพิฆาตได้หลากหลายสมกับที่ผู้กำกับเคยออกแบบคิวบู๊มาโชกโชน และที่แจ๋วเลยคือพวกแวมไพร์ก็ตายยากดีเหลือเกิน แถมยังมีท่าทางประหลาดเหมือนพวกซอมบี้นักกายกรรมอีกต่างหาก ดังนั้นเลยเห็นฉากอัด-ดัด-หักพวกแวมไพร์ไปตั้งแต่หัวยันเท้าเลยทีเดียว ยิ่งไม่ตายก็ยิ่งมัน พวกพระเอกยิ่งได้ฉายฉากฆ่าสุดโหดมากขึ้นเท่านั้น และนี่อาจเป็นสาเหตุให้หนังได้เรต R ไปด้วย แต่ก็รุนแรงสะใจคอหนังบู๊ดีเหลือเกิน แม้จะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนว้าวก็ตาม
โดยสรุปนี่จึงเป็นหนังในแบบที่เราอยากดูในวันว่าง ๆ อยากบันเทิงเริงใจให้เต็มที่ด้วยบรรยากาศแบบบ้าน ๆ เดิม ๆ คล้ายยุค 80s-90s อะไรแบบนั้น และถ้าจะมีอะไรแนะนำก็คงต้องบอกว่าควรดูพากย์ไทยดีกว่าอ่านซับ เพราะแม้จะแปลได้ใกล้กันแต่แบบพากย์ไทยนั้นได้อารมณ์ถึงใจ เสริมความฮาให้หนังได้ดีกว่ามาก ๆ
คนที่ดูหนังมาเยอะน่าจะพอจัดหมวดหนังเรื่องนี้ถูกว่าควรดูเวลาแบบไหน แต่ถ้าใครอยากหาหนังแอ็กชันเข้ม ๆ มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตื่นตาตื่นใจในฉากบู๊ หรืออยากหาหนังคุณภาพสูงเกรดบล็อกบัสเตอร์ดู คุณก็ไม่น่าจะเปิดดูเรื่องนี้แต่แรกให้เสียอารมณ์อยู่แล้วล่ะมั้ง?
มันมาอีกแล้ว…หนังล่าแวมไพร์ ที่เหมือนจะกลายเป็นอีกหนึ่งสูตรขายของหนังจอเล็กของสตรีมมิ่งเจ้านี้ ล่าสุดกับ “Day Shift งานต้องล่า” หนังแอคชั่นภารกิจล่าเดือด ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ มาพร้อมกับพล็อตเรื่องเดิม ๆ ที่หยิบเอาสูตรสำเร็จมาใส่เอาไว้แบบที่ยังไงก็ดูได้สนุกและบันเทิง เพียงแต่ว่ามันจะซื้อใจคนดูได้ขนาดนั้นหรือไม่นะ?
นี่คือผลงานการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของ “เจ.เจ. เพอร์รี่” สตั้นท์แมนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 3 ทศวรรษ แน่นอนงานชิ้นแรกของเขาก็จัดได้ว่าน่าพอใจในระดับตามมาตรฐานดี เขาได้หยิบเอาประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานมาประกอบร่างกลายออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คงต้องยกให้งานออกแบบฉากสตั้นท์ต่าง ๆ ในหนัง คงจะต้องบอกว่าเลยว่า…เขาดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างดีสมราคา
ใช่แล้ว…สิ่งที่เด่นที่สุดของ คือฉากแอคชั่นต่าง ๆ นานา ที่อาจจะไม่ได้ใส่เข้ามาเยอะจนเอียน แต่ก็ปะปนรสชาติได้ดี มีทั้งฉากสตั้นท์ไล่ล่าแวมไพร์ ที่ออกแบบลีลาอ่อนช้อยของแวมไพร์ได้อย่างจินตลีลาเกินบรรยายมาก ๆ อีกทั้งยังมีฉากไล่ล่าซิ่งทั่วเมืองที่เหมือนจะหยิบสูตรแบบเดียวกับที่ใช้ในหนังตระกูลฟาสต์อะไรทำนองนั้น แม้จะเป็นองค์ประกอบที่หนังทำได้ดี แต่ก็ดูเหมือนว่าหนังจะมีส่วนดีก็เพียงแค่นั้น
น่าเสียดายที่ ก็ยังมาพร้อมกับสูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ เหมือนซื้อของสำเร็จมาจับวาง ๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องไปถึงปลายทาง บทหนังยังค่อนข้างธรรมดา สารภาพเลยว่าหนังยังไม่ค่อยสร้างแรงดึงดูดใจให้เกาะจอรอดูอะไรขนาดนั้น เป็นหนังแอคชั่นที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็เป็นจังหวะที่ก็พอดูได้สนุกและยังบันเทิงได้ดีอยู่ แต่หนังก็ไม่ได้มีโมเมนต์และสิ่งที่ทำให้รู้สึกน่าจดจำอะไรได้เลย เมื่อดูจบ..ก็คือผ่านเลยไป
แน่นอนว่าอาจจะรอดตายหวุดหวิดเพราะแคสติ้งนักแสดงโดยแท้ “เจมี่ ฟ็อกซ์” ก็คือนางแบบของหนังเรื่องนี้แบบนัมเบอร์วัน นี่คือหนังของเขา แต่บทและคาแรกเตอร์ของเขาก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย ก็เป็นคขบถสู้ชีวิตแต่สู้ชีวิตกลับอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา ก็สามารถขับเคลื่อนหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด เช่นเดียวกับ “สนูปด็อก” ที่มาน้อยแต่จัดจ้าน ออกมาแต่ละซีน..ย่อมต้องมีซีน
“เดฟ ฟรังโก” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวขโมย เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่หนังไม่สามารถขุดศักยภาพของเขาออกมาให้เฉิดฉายได้กว่านี้ ทั้งที่เขาคือนักแสดงที่เปี่ยมล้นไปด้วยของดี แต่ในเรื่องนี้เขาก็ใส่มาเต็ม เพียงแต่ยังไม่มีพื้นที่ให้เขาสักเท่าไหร่ ขณะที่บทบาทตัวละครอื่น ๆ ที่ร่วมสมทบเข้ามานั้น ก็แทบจะถูกกลืนไปกับบทหนังที่แสนจะเรียบง่าย และไม่ได้มีอะไรพิเศษขึ้นมาได้เลย
เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้วก็มาในลูกเล่นและลูกไม้แบบเดิม ๆ เหมือนหยิบเอาสูตรสำเร็จของหนังแวมไพร์หรือหนังซอมบี้มาผสมและปรุงแต่งใหม่ ที่แน่นอนว่ามันสร้างอรรถรสและรสชาติที่สนุกดี แต่ไร้ความแปลกใหม่ที่ทำให้รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่ จุดดีของหนังก็น่าจะเป็นการดีไซน์ท่วงท่าสตั้นท์ที่ทำออกมาสมกับประสบการณ์ของผู้กำกับ ทีมนักแสดงก็ถือว่าช่วยกันแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้เยอะ เพียงแต่เมื่อดูจบ..หนังกลับยังไม่ได้สร้างความน่าจดจำอะไรให้ได้สักเท่าไหร่
Jamie Foxx เป็นบั๊ด จาบลอนสกี้ที่ดูเผินๆ จะนึกว่าเป็นคนทำความสะอาดสระว่ายน้ำ แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นนักล่าแวมไพร์มือดี และจากการล่าครั้งล่าสุดก็นำพาให้เขาต้องไปเผชิญกับออเดรย์ ซาน เฟอร์นานโด้ (Karla Souza) เจ้าแม่แวมไพร์ที่กำลังขยายฐานอำนาจในเมืองอยู่ และเธอก็หมายหัวจะเล่นงานบั๊ดแบบเอาเป็นเอาตายเลยล่ะ
ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของหนังก็ออกจะเรื่อยๆ หน่อยครับ สารภาพเลยว่ามีสัปหงกอยู่เหมือนกัน แต่แล้วก็มีเหตุให้ตาสว่างตื่นขึ้นมา… เปล่าครับ ไม่ใช่เพราะหนัง แต่เพราะผมเกือบทำรีโมทหล่น พอดีมันสัปหงกจนมือไถลไปโดนรีโมท เกือบร่วงพื้นแน่ะ ดีที่คว้าทัน เท่านั้นล่ะตาตื่นขึ้นมาทันที – แต่ก็ถือว่าพอดีครับที่หนังเริ่มเข้ารูปเข้ารอย มีอะไรฮาๆ และมันส์ๆ มาให้ตามดู ทีนี้เลยตื่นยาว
การดูหนังเรื่องนี้ก็ตอกย้ำความเป็นหนัง Netflix ครับ คือสเกลมันจะไม่ใหญ่ แม้เรื่องนี้จะลงทุนเป็นร้อยล้านก็ตาม แต่สเกลมันดูจำกัด พล็อตเรื่องก็จะไม่ค่อยใหญ่ หรือต่อให้พล็อตไปใหญ่แค่ไหน แต่ก็จะโดนจำกัดด้วยขนาดของฉาก ด้วย Vision บางอย่าง มันจะดูไม่บิ๊กไม่เบิ้ม ไม่เหมือนหนังฉายโรงที่บางทีขนาดพล็อตอาจไม่ใหญ่ แต่งานภาพงานฉากมันจะสเกลใหญ่ ทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่า – จนอดคิดไม่ได้น่ะครับว่าหนัง Netflix ส่วนใหญ่ดูแล้วจะได้อารมณ์คล้ายหนังทีวี สเกลมันโดนจำกัดจนแทบจะถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว
ดูเรื่องนี้แล้วชวนให้นึกถึงเรื่อง Bright ครับ หลายอย่างมาทางเดียวกัน สเกลก็ประมาณเดียวกัน แต่ผมก็ชอบเรื่องนี้มากกว่าหน่อย อย่างที่บอกน่ะครับว่าดูเอามันส์ได้ มีฮาแทรกมาเนียนๆ นักแสดงในเรื่องก็ถือว่ามาพร้อมสีสัน ไม่ว่าจะ Foxx ที่ลื่นไปกับบทได้ดี สมทบด้วย Dave Franco ในบทเซ็ธ รายนี้ก็ถือว่าเป็นลูกคู่ได้เหมาะ – แล้วพากย์ไทยก็พากย์คู่นี้ได้เหมาะมากๆ ด้วย, Snoop Dogg ก็มาเท่ห์ตามสไตล์ ส่วนสาวสวย Natasha Liu Bordizzo ช่วงแรกๆ จะยังไม่ค่อยมีบทครับ จนมาครึ่งหลังถึงได้เริ่มมีพื้นที่ ซึ่งแม้เธอจะไม่ถึงกับขโมยซีน แต่ก็ไม่โดนกลืนจนหายไป เพียงแต่บทของเธออาจจะรวบรัดหน่อยเท่านั้นแหละ
ช่วงต้นก็ทนนิดนึงครับ ตามสไตล์หนังแนวนี้แหละ (และตามปกติของหนัง Netflix) ตอนต้นมันจะเรื่อยๆ ยังไม่ค่อยมีอะไร เป็นการปูพื้นแนะนำตัวละคร ต้องรอผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงอะไรๆ ถึงจะค่อยน่าสนใจขึ้นบ้าง แต่ก็นั่นแหละครับ ความน่าสนใจที่ว่ามันจะไม่ถึงกับสุดๆ มันจะเหมือนโดนจำกัดวงเอาไว้ ไม่ใหญ่ ไม่แกรนด์ ไม่สุด แต่มันก็ตอบโจทย์ความบันเทิงได้อยู่ครับ (หรือไม่ผมก็คงจะชินกับการดูหนัง Netflix ไปแล้วล่ะครับ ดูปุ๊บปรับความคิดหวังปั๊บว่าหวังได้แค่นี้ จะหวังมากกว่านี้ไม่ได้)
หนังกำกับโดย J.J. Perry สตันท์แมนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปีครับ แล้วก็ไต่เต้ามาเป็นผู้กำกับกองสองให้หนังอย่าง Spy, Skyscraper, Fast 8กับ Fast 9 และเรื่องนี้คือผลงานกำกับชิ้นแรกของเขา ก็ถือว่าไม่เลวครับสำหรับการเปิดตัว
และถ้าว่ากันจากใจจริงแล้ว ผมก็อยากดูภาคต่อนะ มันก็เพลินดี และตัวละครก็ยังเล่นอะไรต่อได้อีก เช่นเดียวกับรายละเอียดต่างๆ ในเรื่อง ไม่ว่าจะสายพันธุ์ของแวมไพร์ หรือองค์กรนักล่า ถ้าผูกเรื่องดีๆ วางพล็อตดีๆ มันก็น่าสนุกน่าตามต่ออยู่ครับ และเอาเข้าจริงๆ หนังก็ยังมีอะไรอีกหลายจุดที่ยังอธิบายไม่เคลียร์ด้วย ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจจะเอาไว้เล่าในภาคต่อหรือเปล่า ก็รอดูกันต่อไปครับ