ได้ชื่อว่าเป็นแฟรนไชส์หนังผีที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งทศวรรษนี้ไปแล้ว กับจักรวาลหนังชุดพี่นาค แห่ง ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น ที่ยังคงสร้างภาคใหม่ๆ พี่นาค 3 (2022)Pee Nak 3 ออกมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่องแบบแรงไม่ตก และล่าสุดก็ถึงคราวของ “พี่นาค 3” ที่เป็นการกลับมาสานต่อฉบับไตรภาคให้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะค่อนข้างรู้สึกฝืนอารมณ์มากขึ้นๆ ทุกภาคก็ตาม แต่กระนั้นหนังก็ยังงัดใช้สูตรสำเร็จเดิมๆ ของหนังผีไทยที่ใครเลือกใช้ไม้ตายนี้…ก็ยังเอาตัวรอดได้อยู่ดี ดูหนัง พี่นาค 3 เป็นเรื่องราวของ อ๊อด ที่กำลังจะเตรียมตัวเข้าพิธีบวชในเร็วๆ วันนี้ หนังฟรี เมื่อใกล้ฤกษ์งามยามดี บอลลูน, เฟิร์ส และ โทมินจุน ได้มุ่งหน้าไปยังวัด เพื่อจะร่วมพิธีบวชของอ๊อด แต่กลับพบว่าเขากำลังป่วยหนักเพราะต้องคำสาปจากอาถรรพ์ของกำไล ที่เขาได้ขุดพบเจอโดยบังเอิญ และทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตแค้นของ นาคคำ จากในอดีตชาติ ได้ปรากฏกายจองเวรเขากับเพื่อนๆ ที่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อไขปริศนาและหาวิธีล้างคำสาปนี้ให้สิ้นซาก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายจนเกินไป หนังใหม่
แน่นอนว่า พี่นาค 3 ก็มาพร้อมกับสูตรสำเร็จเดิมๆ ดูหนัง ที่ตายตัวตั้งแต่นาทีแรกไปจนนาทีสุดท้าย ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ หนังแทบหาความแปลกใหม่และน่าสนใจไม่ได้เลย ยังคงย้ำๆ วนๆ อยู่กับสูตรวิ่งหนีผีที่แสนจะจำเจ อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นแบบฉบับตำนานหนังบ้านผีปอบไปแล้วเชียว แต่ในสูตรสำเร็จของหนังที่ยังหยิบมาใช้นั้น ดูหนังออนไลน์ ก็ยังถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมตัวหนังไปในตัวได้อีกอยู่ดี และในท้ายที่สุด พี่นาค 3 ก็ยังคงเป็นหนังผีแบบไทยๆ ที่ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไร เป็นความซ้ำซากที่สร้างบันเทิงได้ในระดับหนึ่ง หนังตลก
ดูหนังฟรี “ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ” ยังคงกลับมารับหน้าที่สานต่อหนังเรื่องนี้อีกเช่นเคย และเขาก็ได้ผลิตหนังไตรภาคแรกของตัวเองได้สำเร็จ แต่ก็นั้นแหละ…ด้วยความที่เขาถนัดในงานกำกับหนังผีโดยเฉพาะ ตั้งแต่ผลงานแจ้งเกิดมาถึงปัจจุบัน เขาแทบจะไม่เคยฉีกตัวเองออกไปจับหนังแนวอื่นๆ เลย ก็เลยกลายเป็นว่ามุมมองและองค์ประกอบหลายอย่างที่เขานำมาใส่ในหนังภาคนี้นั้น ก็ยังวนลูปเดิมๆ ไปมา และยิ่งกลายเป็นสูตรสำเร็จเดิมที่กำลังจะไม่เวิร์กกับตัวหนังสักเท่าไหร่แล้ว ดูหนัง
หากว่าเปรียบเทียบกับหนัง 2 ภาคก่อนหน้านี้ ดูหนังออนไลน์ ก็คงต้องบอกว่าแฟรนไชส์พี่นาคกำลังเดินไปเรื่อยๆ ในลักษณะกราฟลงเนิน ความพีคและสดใหม่ไปอัดเอาไว้อยู่ในภาคแรก ในขณะที่ภาค 2 เป็นการเติมเต็มความสะใจและยังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่พอหอมปากหอมคอ แต่มาในภาคล่าสุดนี้ทุกอย่างเริ่มดูฝืนๆ อย่างเห็นได้ชัด การเล่าเรื่องเริ่มไม่ค่อยสมูท มีรสชาติประหลาดๆ แม้การตัดต่อและลำดับเรื่องจะยังค่อนข้างใช้ได้ แต่เริ่มสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบของการจับแปะไม่ละเอียดตามสไตล์หนังไทยลวกๆ
แน่นอนว่า พี่นาค 3 ก็ยังคงเป็นสยองขวัญที่แฝงไปด้วยตลก ที่มุกขบขันบางอย่างก็ยังทำหน้าที่ส่งต่อผู้ชมได้เป็นอย่างดีอยู่ แต่บอกเลยว่าปริมาณลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่กลายมาเป็นหนังที่ดูแล้วค่อนข้างรำคาญในพฤติกรรมไร้กาลเทศะของตัวละครเสียเอง สุดท้ายอาจจะกำลังเจริญรอยตามความสำเร็จในรูปแบบเดียวกับ ‘หอแต๋วแตก’ จักรวาลหนังไทยชื่อดังอีกเรื่องหรือไม่ อันนี้ก็ไม่ทราบ
เช่นเดียวกับ “มีน พีรวิชญ์”, “คิวเท ซิม”, “ปอนด์ คุณพัทธ์” และ “ต้า อธิวัตน์” ที่ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นนักแสดงออริจินัลตั้งแต่ในภาคแรก มาในภาคนี้กำลังย่ำอยู่กับที่ แม้ว่าจะเห็นความพยายามในการสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์ต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงจุดที่ต้องการ โดยเฉพาะ “แชมป์ ชนาธิป” ที่มารับบทหนักเป็น ผีพี่นาค ในภาคนี้ ปูพื้นเพมาค่อนข้างดี แต่กลับใช้เข้ามาเป็นเพียงองค์ประกอบเสริม ที่แทบจะไม่ให้น้ำหนักและแอร์ไทม์กับเขาสักเท่าไหร่เลย
ท่ามกลางความฝืนในการเล่าเรื่องของหนังภาคนี้นั้น การวิ่งหนีผีก็ยังเป็นสูตรสำเร็จที่พอขายได้ แต่สิ่งที่ พี่นาค 3 ทำได้โดดเด่นขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดก็คือ ความทะเยอทะยานและความกล้าในการฉีกทิศทางที่เกือบจะออกไปทางสุดโต่งด้วยซ้ำ ด้วยการจับเอาตำนานพญานาคและสอดแทรกหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเอาไว้แน่นกว่าภาคก่อนๆ นับว่าเป็นองค์ประกอบที่ค่อนข้างใช้ได้ ขณะที่ซีจีงานออกแบบพญานาคของพวกเขานั้น ก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีได้ดี และอีกองค์ประกอบที่ต้องยกนิ้วให้เลยก็คือเทคนิคการแต่งหน้ายังเทพเหมือนเดิม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังผีชุด “พี่นาค” ได้ดำเนินมาถึงภาค 3 แล้ว จากที่ดูเป็นเหมือนหนังไอเดียง่ายๆ ขายแล้วจบ ดูแล้วก็ลืม กลับมีการต่อยอดสร้างจักรวาลขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว เผลอแปปเดียวก็ปาไป 3 ภาคแล้ว (ไม่แปลกก็เล่นสร้างกันปีละภาคเลย) ซึ่งแน่นอนยิ่งสร้างออกมามากขึ้น ก็ไม่อาจเลี่ยงได้กับการต้องประสบกับปัญหาโลกแตกของหนังภาคต่ออย่างการขาดความสดใหม่ หรือการใช้สูตรสำเร็จเดิมๆ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ อ๊อด (ปอนด์-คุณพัทธ์ พิเชษฐ์วรวุฒิ) สัปเหร่อหนุ่มแห่งวัดธรรมนาคานิมิตร กำลังจะเตรียมตัวเข้าพิธีบวชในอีกไม่กี่วัน ในฐานะที่เคยหนีผีกันมาตั้งแต่ภาคแรก บอลลูน (เอม-วิทวัส รัตนบุญบารมี) เฟิร์ส (เจมส์-ภูริพรรธน์ เวชวงศาเตชาวัชร์) และคุณโท มินจุน (มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร) จึงสละเวลางานเพื่อมาแสดงความยินดีกับอ๊อดในครั้งนี้ แต่ก็ต้องพบว่าอ๊อดกำลังป่วยหนักเพราะต้องคำสาปจากอาถรรพ์ของกำไล ที่เขาได้ขุดพบเจอโดยบังเอิญ อีกทั้งเขายังถูก ผีนาคคำ (แชมป์-ชนาธิป โพธิ์ทองคำ) ออกตามล่าเพื่อทวงกำไลคืน งานนี้ทั้งหน้าเก่าอย่างแก๊งค์เจ๊บอลลูน พ่วงด้วย เณรน็อต (ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน) ที่มีประสบการณ์หนีพี่พอๆกัน และหน้าใหม่อย่าง คิดดี (ตูน-อติรุจ แสงเทียน), เณรน้ำเหนือ (เทมโป-กัณฐพัทธ์ กิติชัยวรางค์กูร) และ แปมแปม (คิมเท ซิม) ยูทูปเบอร์จอมจุ้น จึงต้องร่วมมือกันไขปริศนาและล้างคำสาปให้อ๊อด ก่อนที่จะสายเกินไป
แต่ตัวหนังก็พยายามจะฉีกแนวทางตัวเองออกไปจากสองภาคก่อน โดยในภาคนี้ตัวหนังให้กลิ่นอายคล้ายกับ Scooby-Doo (การ์ตูนชื่อดังของอเมริกาที่ว่าด้วยกลุ่มคนและหนึ่งหมากับการผจญภัยค้นหาเรื่องราวปริศนาเหนือธรรมชาติ) คือ มีการสืบหาต้นตอของคำสาปที่เกิดขึ้นกับอ๊อด แล้วก็หาวิธีการกำจัดคำสาปนั้น แต่หากว่าสิ่งที่มันดูขัดกันตลอดเวลาของเรื่องนี้คือ การจะเอาดีสักอย่างระหว่างสืบหาต้นตอคำสาป หรือจะตลกโปกฮาไร้แก่นสารไปเรื่อย หรือจะเป็นละครสอนคุณธรรมตอนเช้าวันเสาร์
หนำซ้ำการเล่าเรื่องในภาคนี้เห็นทีว่าจะเป็นแผลใหญ่เอาการ เพราะนอกจากจะแยกไม่ได้ระหว่างจริงจังกับตลกแล้ว การเล่าเรื่องยังถือว่าดูฝืนมาก ซึ่งล้วนแต่ขาดตรรกะและความน่าเชื่อถือ เล่าให้เห็นภาพ คือ มีคนกำลังทุกข์ทรมานจากคำสาปร้าย แล้วยังมีผีร้ายตามทำร้ายตลอดเส้นทาง ทั้งๆที่ควรจะอันตรายและน่ากลัว แต่หนังกลับแสดงออกมาในลักษณะของกลุ่มคณะตลกที่จะไปทริปขอหวยถ้ำนาคาซะมากกว่า แล้วก็วิ่งหนีผีสักหน่อยเดี๋ยวคนไม่รู้ว่านี่เป็นหนังผี ยังดีที่มีตัวละคร เณรน็อตและโทมินจุน ที่เหมือนจะคอยเป็นคนดึงทุกคนให้อยู่ในร่องในรอย แต่ก็ดูฝืนจังหวะหนังมากเหมือนกัน
ดีที่สุดแล้วก็แบกหนังเรื่องนี้ไว้ คือนักแสดงในเรื่องนั่นแหละ สองคนที่ต้องยกเครดิตให้เต็มๆเลย คือ เจ๊บอลลูนกับอีเฟิร์ส(ในเรื่องเรียกแบบนี้นะ) โดยเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ เรียกว่า มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นแน่นอน ด้วยสไตล์ตลกแบบกระเทยๆ ปากไว ทำอะไรไม่คิด เซ่อซ่า มันคือจุดแข็งที่สองคนนี้ทำได้ดีตั้งแต่ภาคแรกนั่นแหละ แต่อย่างว่าพอมาในภาคนี้ที่สองคนนี้ไม่ได้เป็นต้นตอของเรื่อง เลยทำให้หลายครั้งสองคนนี้ดูน่ารำคาญในพฤติกรรมและเป็นคนทำลายกาลเทศะของหนังไปเสียเองด้วย (เปรียบง่ายๆเหมือนภาคแรกสองคนนี้เป็นเชฟทำอาหารจะอยู่ในครัวก็ไม่แปลก แต่ภาคนี้ยกระดับเป็นผู้ชิม แต่ก็ยังดันไปอยู่ในครัวอีก)
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็จัดว่าเยอะไปหน่อย นอกจากเจ๊บอลลูนกับอีเฟิร์ส คนอื่นๆก็เหมือนเป็นไม้ประดับ คือ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เสียหาย อย่างตัวละคร คิดดีกับเณรน้ำเหนือ เอาจริงๆ ตัดใครออกสักคนก็ยังได้ ส่วน คิวเท ก็อยู่ในสถานะกลางๆ ไม่จมไม่ลอย แต่ก็ยังดีที่มีซีนให้เล่นพอสมควรอยู่ในเฟรมกับคนอื่นๆ ตลอดทั้งเรื่อง
พูดถึงอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ใส่เข้ามาได้ดีอย่างความเชื่อเรื่องพญานาคกับพระพุทธศาสนา เรียกว่า จัดเต็มทั้งเรื่องราวและงานภาพ ต้องบอกว่าหนังชุดนี้อีกหนึ่งสิ่งที่คนดูยอมรับเห็นจะเป็นเรื่องงานภาพCGI กับการเมคอัพตัวผีนี่แหละ ซึ่งในภาคนี้ก็มีการอัปเกรดขึ้นพอสมควร ทั้งการใช้งานCGI ในการเล่าเรื่องซึ่งทำได้ดีและมีคุณภาพไม่ขี้เหล่เลย รวมถึงงานสร้างอื่นๆ เช่น ฉากงานบวช ฉากหนีผีที่ไร่ข้าวโพด ฉากที่ถ้ำนาคา ก็ล้วนแต่อยู่ในเกณฑ์ที่ภาพยนตร์สักเรื่องควรทำได้
สรุป พี่นาค 3 ยังคงเป็นหนังที่ต่อยอดมาอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ มีคุณภาพในงานสร้าง แล้วก็ยังคงให้ความบันเทิงกับคนดูได้ดี แต่เห็นได้ชัดแล้วว่า สูตรสำเร็จเดิมๆ เริ่มจะกร่อยแล้ว สิ่งที่หนังในภาคนี้พยายามจะฉีกออกไปก็มีทั้งที่ทำได้ดีและทำได้ไม่ดี หากว่ายังมีอีกในภาคหน้าก็คงต้องหาทางปรุงสูตรใหม่ๆ เพื่อสร้างความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์พี่นาคกันต่อไป