หนังผจญภัยย้อนยุคนะครับ เนื้อเรื่องสรุปย่อคือ พระเอก (Steven Strait) เห็นนางเอก (Camilla Belle) และเพื่อนร่วมชนเผ่าโดนพวกบูชาเทพเจ้าอันทรงพลังจับไปต่อหน้าต่อตา เขาเลยหมายมั่นจะเดินทางไปจัดการกับพวกชนเผ่าเทพเจ้านั้นซะ ระหว่างการเดินทางเขาก็ต้องเจอกับเสื้อเขี้ยวดาบ สัตว์ร้ายและคนอำมหิต รวมถึงชนเผ่าที่กำลังรอใครสักคนมาชักนำพวกเขาให้ลุกขึ้นต่อต้านกับชนเผ่าเทพเจ้าที่เอาแต่กดขี่ข่มเหงและจับคนไปเป็นทาส บุกอาณาจักรโลก (2008) หนัง Nerflix
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 สมัยเข้าโรงผมก็ไม่ได้สนใจมากมายนะครับ ดูไปอย่างงั้นๆ ซึ่งตัวหนังก็เป็นไปตามคาด มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากมาย แนวเดิมๆ ได้แก่ตัวเอกที่เป็นบุคคลเก่งกาจ ซ้ำยังมีตำนานที่เจ้าแม่ประจำเผ่ามาบอกอีกว่าเขาจะเป็นคนสำคัญในภายภาคหน้า แล้วก็เดินทางไปปราบพวกผู้ร้าย และจบลงอย่างมีความสุข แหม แฮ้ปปี้ๆ
สารภาพว่าเฉยกับหนังจนไม่รู้จะเขียนอะไร ความตื่นเต้นเร้าใจไม่ใคร่จะปรากกฏครับ ดูแล้วมันนึกไปถึง Pathfinder กับ Apocalypto มากกว่า ซึ่งสองเรื่องที่ว่าก็ยังมีอะไรน่าสนใจกว่าเยอะ อย่างเรื่องแรกมันยังขายสไตล์ภาพบ้าง ฉากสู้กันยังพอมีลุ้น ส่วน Apocalypto ก็เข้มข้น สมจริงเหมือนพาเราหลุดเข้าไปในโลกของชนเผ่านั้นจริงๆ แต่เรื่องนี้มันสูตรฮอลลีวู้ดครับ ซึ่งจริงๆ ถ้าทำให้มันสนุก ตื่นเต้น เร้าใจก็น่าจะดี แต่ดูๆ แล้วมันก็ไม่เท่าไร หรือพวกสัตว์โบราณที่เห็นโฆษณาเยอะแยะก็มีแค่นิดเดียวเอง ตอนท้ายเมื่อต้องรบกับพวกชนเผ่าเทพก็จบลงอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นจริงๆ ดูหนังออนไลน์
ก็เฉยๆ กับหนังน่ะครับ ดูไปแล้วผมชอบ Apocalypto กว่าเยอะ ทั้งในแง่ความสมจริงและความสนุกตื่นเต้น ไปๆ มาๆ ผมว่าบรรยากาศในเรื่องนี้มันคล้าย Stargate ผลงานกำกับแจ้งเกิดของ Roland Emmerich คนทำหนังเรื่องนี้น่ะแหละ ค่อนข้างคล้าย แต่ความสนุกตื่นเต้นคนละอย่างกันเลยจริงๆ
จุดที่ผมชอบกลับเป็นประเด็นที่เล่นกับ “ความเชื่อ” ของคน ประเภทว่าพวกชนเผ่าเทพมันใช้จิตวิทยาเก่งมาก ตั้งแต่เครื่องแต่งกายที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นปีศาจได้ หรือการตกแต่งเรือขนส่งของพวกมันให้เหมือนนกยักษ์ ยอมรับว่าพวกนี้เก่งมากครับ ที่เล่นกับความกลัวของคน ทำให้ใครๆ ไม่กล้าต่อต้าน เพราะกลัวอำนาจเทพเจ้าที่มองไม่เห็น ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงการใช้จิตวิทยาเข้าเอาชนะคู่ต่อสู้เท่านั้นเอง ดูหนังฟรี
แต่ผมหมายถึงเรื่องไสยศาสตร์การดูดวงทรงเจ้า ที่บางเจ้าก็อาจเป็นของจริง แต่ส่วนใหญ่เจ้าไหนที่ชอบทักแต่เรื่องร้ายๆ แล้วเอะอะก็ให้เราสะเดาะเคราะห์ เสียเงินเสียทองให้เขาน่ะ มักจะเป็นพวกที่ใช้ความเชื่อมาหากินเสียมากกว่า
ในเรื่องก็ทำให้คนดูสะใจได้ไม่น้อย ตอนท้ายที่พระเอกเดินออกโรงไปลุยกับบุคคลที่ถูกสร้างภาพลักษณ์จนกลายเป็นเทพเจ้า แต่ที่ไหนได้ก็ไม่ใช่มนุษย์มหัศจรรย์ที่ไหน เป็นแค่คนธรรมดาเดินดิน แต่ถูกแต่งเสริมเติมเรื่องจนเป็นเทพเจ้า
เป็นอันว่าผมชอบ 10000 BC ที่ประเด็นการสอนไม่ให้คนงมงายหรือหลงเชื่ออะไรง่ายๆ และไม่ควรให้ความเชื่อมาขวางความฝันของเรา
คนที่เชื่อในตนเอง ไม่ระรานคนอื่น มักได้ผลสำเร็จเป็นการตอบแทน
ดาราก็ไม่เลว แต่นางเอกที่ผมปลื้มอย่าง Belle บทน้อยไปหน่อย เสียดายจัง ส่วนพระเอก … สารภาพเลยครับว่าดูสองรอบยังจำหน้าแกไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็พอไหว ไม่ถ่วงหนัง
เป็นภาพยนตร์อเมริกาแนวแอคชั่น ผจญภัย ดราม่า และแฟนตาซี เป็นหนังที่มีฉากผสมผสานกันอย่างหลากหลายอารมณ์ มีทั้งดุเดือด เงียบเหงา เศร้าโศกและกล้าหาญฮึกเหิมรวมอยู่ในเรื่องเดียว 10,000 BC ออกฉายเมื่อปี 2008 เป็นหนังที่กำกับโดย Roland Emmerich เขียนบทโดย Roland Emmerich และ Harald Kloser แสดงนำโดย Steven Strait (รับบทดีเลห์), Camilla Belle (รับบทเอโวเล็ต) และ Cliff Curtis (รับบทติกติก)
เป็นหนังเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวของ เอโวเล็ต เด็กสาวผู้มีดวงตาสีฟ้า เธอมีชะตาที่จะต้องเป็นภรรยาของนักรบผู้กล้า ที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของชนเผ่า เขาคนนั้นก็คือดีเลห์ ผู้ที่สังหารเทพเจ้าเพื่อปลดปล่อยเหล่าทาส และช่วยให้เผ่ายาการ์ลของพวกเขาไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป
โดยมีชาวเผ่ายาการ์ล ชนเผ่าพรานป่าผู้ทรงพลังที่สุดในการล่าสัตว์ พวกเขาจะล่าแมนแนค (ช้างแมมมอธ) ที่จะเดินทางผ่านมาในแต่ละฤดู ผู้ที่ฆ่าแมนแนคได้ จะได้ถือหอกขาว ได้รับการยกย่องเป็นผู้กล้า และได้เป็นผู้นำในการล่าในครั้งต่อไป
แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็เกิดวิกฤตทางอาหาร เมื่อแมนแนคไม่เดินทางผ่านมาทางหุบเขาของพวกเขาเป็นเวลานาน ทำให้พรานป่าทั้งหลายเริ่มกังวล จึงเป็นหน้าที่ของแม่เฒ่าผู้มีอำนาจวิเศษที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในเผ่า ต้องติดต่อขอการปกป้องคุ้มครองจากวิญญาณบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ได้พบกับเด็กสาวดวงตาสีฟ้าที่จะมาเปลี่ยนชะตา ของชนเผ่ายาการ์ลไม่ให้ต้องหิวโหยอีกต่อไป จากการเป็นความหวังของคนในเผ่า เธอจึงได้รับการขนานนามว่า “เอโวเล็ต”
ในการล่าครั้งสุดท้ายตามที่แม่เฒ่าได้ทำนายไว้ ชายผู้กล้าที่ฆ่าแมนแนคได้ จะเป็นชายผู้ที่ได้ครอบครองหอกขาวรวมทั้งเอโวเล็ตด้วย แต่ชนเผ่ายาการ์ลจะต้องเผชิญกับปีศาจสัตว์สี่ขา มีเพียงชายผู้กล้าผู้ได้เป็นเจ้าของเอโวเล็ตเท่านั้นที่จะสามารถพลิกชะตาของชนเผ่าได้
แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่แม่เฒ่าทำนายไว้ เอโวเล็ตและคนอื่น ๆ ในเผ่าถูกปีศาจจับตัวไป ทำให้ดีเลห์ชายผู้ได้ครอบครองเอโวเล็ต ต้องออกติดตามชิงตัวเธอกลับคืนมา ดีเลห์ได้รวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเทพเจ้าและได้จับตัวคนในเผ่าต่าง ๆ ไปเป็นทาสเป็นจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วดีเลห์ก็สามารถโค่นล้มเทพเจ้าได้ ทำให้ผู้ที่ถูกจับเป็นทาสลุกขึ้นสู้ และเอาชนะคนของเทพเจ้าได้
แต่ที่เด็ดสุดที่ผมชอบมาก และทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูมากขึ้นคือหนังเรื่องได้แฝงแนวคิดดี ๆ ไว้เช่นความสามัคคีของชนเผ่าต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันจนสามารถเอาชนะศัตรูได้ และได้แฝงแนวคิดด้านจิตวิทยาเรื่องความกลัวเอาไว้ โดยเห็นได้จากทาสที่ถูกจับตัวไปทรมานเมื่อถูกบังคับให้แสดงความรพต่อผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเทพทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ แม้ในนาทีที่พวกเขาลุกขึ้นมาต่อต้านเทพ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรพวกเขายังก้มลงแสดงความเคารพและยอมสยบแก่เทพ และแม้แต่แมนแนค ช้างแมมมอธตัวใหญ่ ที่ถูกเฆี่ยนมานานจนหมดความดุดัน แม้ถูกปลดโซ่แล้วก็ยังไม่กล้าที่จะสู้กับคนตัวเล็ก ๆ ทำให้สะท้อนถึงจิตใจของคนเราที่ทำอะไรเดิม ๆ นาน ๆ จนเป็นความเคยชิน และหมดไฟจึงยากที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ ๆ ถึงแม้สิ่งนั้นจะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็ตาม
ผกก. Roland Emmerich มีผลงานระดับเจ๋งหลายเรื่อง เช่น Indenpendence Day และ The Day After Tomorrow แต่ผลงานชิ้นนี้กลับไม่ได้ตามผลงานก่อนหน้านี้ของเขาไปด้วย ในด้านของความยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้นำเสนอตัวเอง เป็นหนังผจญภัยธรรมดาๆ แบบทุนสร้างสูงพอสมควร ( $75 ล้าน) และเมื่อเข้าไปชมในหนังแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เหมือนหนัง แอคชั่น ผจญภัยทั่วไป ซึ่งไร้ความแปลกใหม่ในการแฝงความแปลกใหม่ ถึงแม้ประเด็นเป้นผู้ที่ถูกเลือกนั้นในบางช่วงดูแปลกๆไปบ้าง แต่ก็ยังไม่แปลกใหม่เท่าไร
แต่ถ้าพูดถึงความสนุกสนาน และ ความบันเทิง หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี ตลอดเรื่องเราจะตระกาลตากับอารยธรรมโบราณ ช้างแมนแนลหรือแมมม็อธในที่เรารู้จักกัน หรือจะเป็นสัตว์ต่างๆในอดีตกาล ซึ่งสิ่งที่พูดมานี้ นั้นสร้างความบันเทิงได้น่าพอใจ ฉากแอคชั่นก็ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะฉากปีรามิด สุดยอดมากๆ น่าตลกที่หนังเรื่องนี้ดูๆไป ก็คล้ายๆเหมือนเอา 300 มาผสมกับ Jurassic Park
สรุปแล้ว 10000 B.C นั้นสร้างความตระกาลตา น่าตื่นใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก สำหรับคอหนังที่ชอบประสบการณ์แปลกใหม่ ฉากแอ็คชั่นอลังการดีๆ แต่ในด้านของคุณภาพ พูดง่ายๆเหมือนว่า ผกก. มือตกลงไปนิดนึง
เนื้อเรื่อง สนุก ชวนติดตามตลอดเวลา แต่ไร้ซึ่งความแปลกใหม่ เหมือนแค่หนังผจญภัยธรรมดา เอฟเฟกต์ ยอดเยี่ยม อลังการ แต่ติตรงฉากสุดท้ายนิดนึง ตรงยอดปีรามิดที่หักหล่นลงมา ตรงนี้นยังไม่เนียนเท่าไร เห็นชัดเจนเลย การแสดง ทุกคนเล่นได้มาตรฐาน ไม่เด่นและไม่แย่อะไร ความบันเทิง ส่วนนี้ให้ผู้ชมเต็มๆสำหรับคนที่ต้องการหนังแอ็คชั่น ผจญภัยสนุกๆ สักเรื่อง คุณภาพ แต่ส่วนนี้กลับไม่ได้ดีดังที่คาดไว้ แต่ก็ไม่ได้แย่มากมายเท่าไร